Three things to cultivate สามสิ่งควรกระทำให้มี Good book Good Freind Good Humour หนังสือดี เพื่อนดี จิตใจดี

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

ปีเกิดบอกนิสัย

ปีเกิดบอกนิสัย

ปีชวด
เพราะความว่องไวปรู๊ดปร๊าดของเจ้าหนูจอมซน
จึงทำให้ความรักของคนเกิดปีนี้ อลเวงร้อนแรงชนิดไฟแรงสูงทั้งหญิงและชาย
ชาวปีชวดขนานแท้ รับรองเรื่องเซ็กส์ของเขาไม่เป็นสองรองใคร อาจถึงขั้นใฝ่หาเลยทีเดียว
คนเกิดปีชวด ถ้าได้รักใครแล้วจะทุ่มเทแบบสุดๆ แต่อย่าให้เขาเกลียดเชียวนะ
พลังความเกลียดของหญิงชายชาวปีหนู รุนแรงยิ่งกว่าพายุทอร์นาโดเสียอีก
และก็เพราะความรุนแรงยิ่งกว่าพายุหมุนนี่เอง
เวลาที่เขาพลาดหวังจากความรัก เขาจะฟูมฟายซะใหญ่โต
แต่ก็เป็นเพียงแป๊บเดียว เมื่อคลื่นลมสงบ เขาและเธอก็จะมีความรักใหม่
หมุนเวียนเข้ามาในชีวิตอย่างต่อเนื่อง
ด้วยพื้นดวงของปีเกิด พวกเขาเกิดมาพร้อมกับเสน่ห์เลยทีเดียว
ใครพบเห็นก็หลงใหลปลาบปลื้ม หมุนเวียนเข้ามาแต่ก็มิได้จีรังยั่งยืน
เพราะตัวเขาเองที่เป็นประเภท รักง่ายหน่ายเร็ว
หนุ่มสาวปีชวด มักไม่จริงจังกับแก่นสารสาระของชีวิตสักเท่าใด
ไม่ค่อยจะดิ้นรนหาความมั่นคง เพราะชอบหมกมุ่นอยู่กับความรักและกามารมณ์
อันเป็นยอดปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใด

ปีฉลู
วัวเป็นสัตว์ใหญ่ เชื่องช้าแต่ทำอะไรได้หลายอย่าง
ความรักของคนที่เกิดปีนี้ จึงมักอบอุ่นละมุนละไม
เขาและเธอที่เกิดปีวัว มักเป็นคนหนักแน่น ลองได้รักใครแล้วก็มักจะรักจริง
ถึงจะเป๋ออกนอกลู่นอกทางบ้างก็เป็นแค่น้ำจิ้ม ไม่เคยจริงจังหรือคิดนอกใจใดๆหรอกน่า
คนเกิดปีฉลูถึงเจ้าชู้ก็เจ้าชู้แบบเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก
ถ้าเขาคิดจะมีบ้านเล็กบ้านน้อย คงยากหรือนานที่ใครจะรู้ได้
หนุ่มสาวปีวัว ไม่ชอบความโลดโผนในเรื่องความรัก ประเภทเจ้าชู้ไก่แจ้หาได้ยากมาก
เพราะคนเกิดปีวัว ส่วนใหญ่ จะรักบ้านรักครอบครัว
ไม่น่าแปลกสำหรับสามีที่เกิดปีฉลู จะกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน
หรือไม่ก็ต้องโทรศัพท์บอกภรรยาทุกครั้ง ที่กลับผิดเวลา
แม้จะดูเรียบง่าย แต่ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องความรักหรอกนะ
เป็นคนไฟแรงพอสมควรเชียวล่ะ อารมณ์ของเขาอาจจะหวั่นไหว
ถ้ามีคนที่ต้องตาถูกใจมานั่งข้างๆ ทำให้หัวใจที่สุขุม นุ่มลึก สั่นสะท้านได้ง่ายๆ เหมือนกัน
เขาหรือเธอเป็นคนพูดน้อยแต่ต่อยหนัก เมื่อชอบใครจะไม่พูดออกมาตรงๆ
ประเภทมานั่งจีบ ออดอ้อน ค่อนข้างจะหาได้ยากสักหน่อย
เขาจะแสดงออกด้วยการกระทำหรือส่งสายตา
โปรยเสน่ห์บอกความนัยให้เขารู้เขาเรียกว่าเจ้าชู้ทางสายตาไงล่ะ

ปีขาล
แม้เป็นเสือที่มีเขี้ยวเล็บแพรวพราว แต่ชาวปีขาลกลับมีความอ่อนไหวในเรื่องความรัก
จึงไม่น่าแปลกที่แวดวงคนเกิดปีนี้ จะอบอวลไปด้วยความรักอย่างมากมาย
แต่กว่าจะหารักแท้หรือที่จะเป็นคู่ชีวิตก็ยากเต็มที
เพราะความเป็นเสือซึ่งก็บอกยี่ห้ออยู่แล้วว่า ทั้งเขาและเธอรับรองคุณภาพของความเจ้าชู้ได้ทุกคน
จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความร้อนแรงของวันเกิดและเดือนเกิดอีกที
คนเกิดปีขาลเป็นคนที่เริ่มต้นใหม่กับความรักได้เสมอ เข้าทำนองอกหักดีกว่ารักไม่เป็น
ลูกเล่นในเรื่องความรักความใคร่แพรวพราว คารมคมคายน่าหลงใหล
คนเกิดปีนี้จึงทำให้คนรักได้ไม่ยากเย็น
หนุ่มสาวปีขาลไม่ชอบหลอกตัวเอง เรียกว่าต่อให้รักขนาดไหน
ถ้ามีสิ่งที่ไม่พอใจมากระทบความรู้สึก ประเภทที่รับไม่ได้ก็ตัดใจได้ทันทีเหมือนกัน
ลักษณะเฉพาะตัวที่เด่นๆของเขาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเป็นคนช่างสังเกต
แม้ต่อหน้าเหมือนไม่ใส่ใจอะไรเลย แต่ถ้าเป็นคนที่ถูกใจ
เขาจับจะตาคนๆนั้น ประเภทไม่ให้พลาดเลยทีเดียว
คนปีเสือมักจะมีเรื่องประหลาดๆ เกี่ยวกับความรักเกิดขึ้นกับเขาอยู่เสมอ
ถ้าเขาหลงรักใครก็จะหัวปักหัวปำ ประเภทเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่
แต่สำหรับความผิดหวังแล้วเป็นคนละเรื่อง
เมื่ออกหักก็จะจากไป ไม่ให้ความทุกข์ตามไปด้วยเป็นอันขาด

ปีเถาะ
คนเกิดปีเถาะ เปรียบเสมือนกระต่ายน้อยใต้แสงจันทร์ อ่อนไหว อ่อนโยน
มีจินตนาการเพ้อฝันและไม่ค่อยหนักแน่นมั่นคงในเรื่องความรัก
หินผายังโดนกัดกร่อนแล้วหัวใจอ่อนๆ จะไม่แปรปรวนได้อย่างไร
ฉะนั้นถ้าคิดจะรักคนเกิดปีเถาะ ก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บบ้าง
อย่าหวังกับความยั่งยืนกับกระต่ายน้อยๆ
เขาหรือเธอต่างก็มีหัวใจเปราะบาง ถ้าใครมาทำดีด้วยก็หลงใหลปลื้มแบบสุดๆ
คิดเลยเถิดจนถึงขั้นอยากจะควงแขนให้หายเปลี่ยวใจ
ชายปีกระต่ายเวลารักชอบใคร มักจะคิดไปไกลถึงขั้นสัมพันธ์สวาท
หากมีจังหวะและโอกาสมักจะพลาดเขายาก
หนุ่มสาวปีกระต่ายขี้หึงแบบสุดๆ ประเภทของๆข้าใครอย่าแตะ
ปัญหาเรื่องความรักของคนเกิดปีนี้ จึงมาจากเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่
ความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของคนเกิดปีกระต่าย คือ
มักมีเทคนิคสร้างสีสันในเรื่องความรักให้แปลกใหม่อยู่เสมอ
คู่รักของคนเกิดปีนี้ ไม่มีคำว่าเบื่อหรือไร้อารมณ์อย่างเด็ดขาด
พื้นดวงของเขา เป็นคนปรารถนาความรักอย่างสุดยอด
คนเกิดปีกระต่าย จึงมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยรักอยู่ตลอดเวลา
แม้วัยจะล่วงเลยผันผ่านไปนานขนาดไหนก็ตาม

ปีมะโรง
หนุ่มสาวชาวงูใหญ่ มักมีนิยายอมตะเกิดขึ้นในชีวิตอยู่เสมอๆ
เพราะคนเกิดปีนี้ จะให้ความสำคัญกับเรื่องความรัก ยกย่องบูชาเหนือสิ่งอื่นใด
ในการที่จะหาหรือเลือกคนรักสักคน เขาและเธอที่เกิดปีมะโรงจะไม่สนใจในฐานะ
หรือชาติตระกูล มาประกอบในการตัดสินใจ ถ้าพอใจเสียอย่างยังไงก็ได้นะ
พวกเขามีความโรเมนติกไม่เบาเชียวแหละ
หนุ่มสาวชาวงูใหญ่มีอารมณ์รักอยู่ในขั้นที่ใช้ได้
แต่เป็นประเภทที่อ่อนหวาน นุ่มนวลซะมากกว่า
คนเกิดปีนี้ ถ้าเจ้าชู้ก็เป็นแบบเจ้าชู้เงียบแต่ไม่สำส่อน สามารถยับยั้งชั่งใจได้ดี
สาวชาวงูใหญ่อาจจะเลือกผู้ชายที่ขี้เหร่ที่สุดมาเป็นแฟน
ทั้งๆที่มีคนมาจีบจนหัวบันไดไม่แห้ง เรียกว่ามีอะไรแปลกๆให้เซอร์ไพรส์อยู่เสมอ
เช่นเดียวกับหนุ่มชาวงูใหญ่ ที่อาจเลือกสาวที่ใครๆต้องเบือนหน้ามาเป็นแฟน
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก และพฤติกรรมของเขาสามารถครองความรักได้นานเลยทีเดียว
เวลาที่ชาวงูใหญ่รักใคร มักคอยห่วงหาอาทร
คอยดูแลเอาใจใส่คนรักเหมือนไข่ในหิน ประเภทจงอางหวงไข่เลยแหละ

ปีมะเส็ง
เพราะความปราดเปรียวและมีเสน่ห์ของชาวงูเล็ก
คนเกิดปีนี้ จึงมักมีแฟนมากมาย
บางช่วงชีวิตต้องเจอกับเรื่องวุ่นวาย กับเรื่องความรักเสียจนน่าปวดหัว
แต่บทจะปักหลักกับใคร ก็หยุดเลื้อยเอาเสียดื้อๆยังงั้นแหละ
ชาวงูเล็ก มักมีความรักแบบร้อนแรง ประเภทเจ้าชู้ประตูดิน
บางคนอาจมีคู่ควงแทบไม่ซ้ำหน้าเลยทีเดียว
ความเป็นคนมีเสน่ห์ทั้งชายและหญิง
ถึงไม่หล่อหรือสวย แต่สาวแก่แม่ม่ายตอมกันหึ่ง
เพราะทั้งลีลาและคารมของเจ้าประคุณ มันช่างจับใจอย่าบอกใครเชียว
แม้ชาวงูเล็กจะเข้าข่ายประเภทเจ้าชู้
แต่ถ้าได้ใครมาเป็นแฟนแล้วบอกได้เลยว่าขี้หึงที่สุด
เรียกว่าข้าทำไม่เป็นไร แต่เมื่อเป็นของข้าแล้วห้ามใครยุ่งเด็ดขาด
หนุ่มสาวชาวปีมะเส็ง มักเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ใจร้อนก็เป็นที่หนึ่ง
ปัญหาเรื่องความรักส่วนใหญ่ ก็มีสาเหตุจากตัวเองนั่นแหละ
คนเกิดปีนี้มีรักมากก็จริง แต่มักอาภัพคู่ที่แท้จริง
ถึงจะมีมากมาย ปิ๊งง่ายแต่ก็ไม่ยังยืน เรื่องนี้คนปีงูเล็กต้องทำใจ
เพราะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ไปเสียทุกอย่างหรอก

ปีมะเมีย
ถึงจะเป็นม้าศึกแต่กับไม่คึกสักเท่าไหร่
ความรักของคนเกิดปีมะเมีย จึงไม่หวือหวาโลดโผนเหมือนคนอื่นเขา
ความรักเป็นแบบเรื่อยๆซะมากว่า
หญิงที่เกิดปีม้าเรียกได้ว่าเป็นสาวเสน่ห์แรง เรียกได้ว่ามีมาไม่ขาด ดังสายน้ำไหลเลยทีเดียว
และแน่นอนเรื่องปวดหัวใจก็จะเป็นเรื่องอะไรล่ะ เพราะความรักที่มีแต่คนมาเสนอให้นี่เอง
หนุ่มสาวชาวปีมะแม มีความชอบที่เหมือนกันอยู่อย่างก็คือ
ชอบให้คนอื่นมาคอยเอาอกเอาใจ ดูแล ห่วงใย ถ้ารู้ใจเธอข้อนี้แล้วไม่ผิดหวังหรอกนะ
ถ้าหากเกิดมีคนรักเป็นชาวปีมะเมียแล้ว เกิดเป็นคนที่เอาใจใครไม่เป็น
ห่างหายขาดความสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย
เพราะสิ่งนี้แล้ว คนเกิดปีมะเมียต้องการมากเลยทีเดียว
หนุ่มสาวปีม้า มักเป็นคนหน้าตาดีจึงมักติดนิสัยหลงตัวเอง
ประเภทชอบมองกระจกเป็นนกหงษ์หยกเลยทีเดียว
ชอบคิดอยู่เสมอว่าตัวเองช่างหล่อหรือสวยเสียนี่กระไร
คนเกิดปีนี้ คิดว่าตัวเองต้องเริด เป็นหนึ่งเท่านั้น ถ้าเป็นสองรองใครเห็นทีจะทำใจลำบาก
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนรักเดียวใจเดียว มั่นใจได้เลยว่าผูกมัดใจเขาได้แน่นอน
แต่ถ้าไม่มาทั้งใจ ชาวปีม้าก็โบกมือลาไม่เหลือเยื่อใยทันที
งานนี้ม้าสาวมักจะคึกกว่าม้าหนุ่ม เพราะพื้นดวงบ่งบอกว่าเธอใช้แฟนเปลืองเสียนี่กระไร
ถ้าคิดจะรักสาวปีม้าก็ต้องเผื่อใจเอาไว้บ้าง

ปีมะแม
ใครที่เคยเห็นแพะเป็นสัตว์ที่เซื่องๆ แต่เอามาเปรียบกับคนที่เกิดปีแพะไม่ได้หรอกนะ
เขาและเธอช่างเฮงเสียเหลือเกินในเรื่องความรัก
มีความโดดเด่นมากกว่าเรื่องงาน และการเงินอย่างเหลือเชื่อ
หนุ่มสาวที่เกิดปีนี้ พวกเขาต่างมีอารมณ์โรเเมนติก สุนทรีย์ในเรื่องความรักเป็นอย่างยิ่ง
มีอารมณ์รักอย่างล้นเหลือ จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขามีความคิดไปไกลเป็นพิเศษ
เพราะเพียงเริ่มมีความรัก เขาก็ฝันไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว
ชาวแพะ รักใครชอบใครก็มักหลงใหลใฝ่ผันเลยทีเดียว
ชอบพร่ำเพ้อละเมอหา ชนิดที่เรียกวาคลั่งรักแบบสุดๆ
คนเกิดปีนี้ ได้พิสูจน์ในสัจธรรมที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดได้ชัดเจน
การที่ทุ่มเทความรักให้คนอื่นมากมายเช่นนี้
เวลาที่เขาผิดหวัง คนปีแพะจึงต้องทรมานเป็นนานแสนนานกว่าจะหาย
ดูเหมือนหัวใจของคนเกิดปีแพะ จะเป็นหัวใจสะออน
เพราะแม้จะเจ็บปางตายจากความรัก แต่เขาก็ไม่เคยเข็ดอะไรหรอก
พอรักใครก็จะทุ่มเทอีหรอบเก่า จนอาจถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนที่เกิดปีนี้กว่าจะเจอคู่แท้ ก็ต้องใช้เวลานานพอควร จนหัวใจเริ่มชินนั่นแหละ
และเมื่อเจอคู่แท้แล้ว มักเป็นคู่ที่อุปถัมภ์ค้ำจุนกันดีนักแล

ปีวอก
คนเกิดปีวอกกับความอลเวงในเรื่องความรัก มักเป็นของคู่กัน
เพราะเขาและเธอชาวปีวอกเป็นคนน่ารัก ช่างพูดช่างเจรจา
งามงอนจริตมารยาชนิด 600 เล่มเกวียน ทำให้เวียนหัวกับคนใกล้ชิดเอามากๆ
หนุ่มชาวปีวอกเจ้าชู้เงียบ กรุ้มกริ่ม ขี้อ้อน เอาใจ
เวลาปิ๊งใครขึ้นมาอย่าคิดว่าเขาจะบุ่มบ่าม ลุกลี้ลุกลน
แต่ตรงข้ามเขาจะสงวนท่าที เก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้เสียฟอร์ม
หนุ่มสาวชาวปีวอกเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ถ้าจับไม่มั่นคั้นให้ตาย
อย่าหวังจะได้ความลับหรือจับโกหกเขาได้หรอก
ในเรื่องความรัก เขาและเธอมีชั้นเชิงแพรวพราว ทั้งรุกและรับ
เรียกว่าเดินตามแผนการเผด็จศึกพิชิตใจ ครบทุกกระบวนท่าเลยทีเดียว
บางทีถึงแม้เขาจะแอบชอบใครเป็นทุนเดิม แต่สาวปีวอกกลับทำท่าหยิ่งไม่สนใจ
ถ้ารู้ตัวว่าจะแห้วนั่นแหละ เธอถึงจะเดินเกมใหม่เป็นฝ่ายรุกแทน
คนเกิดปีวอกทั้งชายและหญิง เป็นแฟนใครก็ดูน่ารัก
เพราะพวกเขาใจเย็น ใส่ใจในความรู้ศึกของคนอื่นอยู่เสมอ
ไม่ชอบเอะอะโวยวาย มักพูดจากันด้วยเหตุผล มากกว่าจะระเบิดอารมณ์เข้าใส่กัน
ชาวปีวอกเป็นคนช่างเลือก ถ้ายังไม่ตกลงปลงใจกับใคร ก็จะขอคบไปเรื่อยๆก่อน
แต่ไม่รับปากนะว่าจะไม่คบคนอื่นไปด้วย เขาจะเลือกคนที่ถูกใจเขามากที่
สุด
แต่ก็เพียงเข้ากันได้ ไปกันด้วยดี เข้าใจซึ่งกันและกันเท่านี้เองที่ถูกใจเขา
ถ้าเขาได้เลือกแล้วรับรอง เขาจะเป็นลิงที่เชื่องๆตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

ปีระกา
คำเปรียบเทียบของคนโบราณ สำหรับคนเจ้าชู้ประเภทหนึ่งไปเหมือนไก่แจ้
แสดงว่าธรรมชาติของไก่ ต้องมีกุ๊กกิ๊กเป็นเรื่องธรรมดา
หนุ่มสาวชาวราศีนี้จะมีบ้างก็จะเป็นไรไปนะ
หนุ่มสาวปีไก่ ไม่เคยห่างหายจากความรัก
เวลารักใครแล้ว เขาจะให้เกียรติและความสำคัญกับคนรักมาก คอยดูแลเอาใจใส่
เขาและเธอมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งคือ ตื้อเก่งชะมัด
ถ้าลองได้ปิ๊งใครแล้วรับรองเช้าเย็นและทุกเทศกาล
เขาไม่เคยลืมที่จะแวะเวียนหรือซื้อของขวัญติดไม้ติดมือให้กับคนที่เขารักไม่ว่างเว้น
หนุ่มสาวปีระกาเป็นคู่รักที่น่ารักมาก เขามักจะเติมสีสันให้กับชีวิตรักอยู่เสมอ
ทั้งนอกบ้านและในบ้าน หรือแม้เรื่องบนเตียงนอน
เรื่องนอกใจหรือแบ่งปันความรักให้คนอื่นแทบจะไม่มี
ข้อผิดพลาดของคนเกิดปีไก่ในเรื่องความรักก็คือ การมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆบางอย่างไป
ถ้าได้แฟนที่ไม่เข้าใจกัน เรื่องก็อาจบานปลายกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปได้โดยไม่รู้ตัว
คนเกิดปีไก่ ชอบมองโลกในแง่ดีจนบางทีก็เกินไป จึงทำให้ผิดหวังในเรื่องความรักอยู่บ่อยๆ
บางทีเพื่อนมาแย่งแฟนก็แสนจะปวดใจทีเดียว

ปีจอ
เรื่องราวของคนเกิดปีสุนัข รู้สึกจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนพิศดารพอสมควร
แม้จะลึกๆแล้ว หนุ่มสาวปีจอจะมีความซื่อสัตย์ไม่กระล่อนหลอกลวงใครก็ตาม
แต่ความลับที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกนะ
เขาและเธอถ้ารักก็บอกว่ารัก ชอบก็บอกว่าชอบ
ประเภทให้มานั่งจีบพร่ำรำพันบอกรักเช้าเย็น คนปีจอเขาไม่ทำกันหรอก
วิธีแสดงความรักของเขา ก็แค่ส่งสายตาบอกภาษาใจก็พอแล้ว
ชาวปีจอนิยมความรักแบบเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก
บางทีเป็นแฟนกันมาเกือบปี ในที่ทำงานก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพ่อหนุ่มคนนี้เป็นแฟนกับใคร
จนมีใครไปแอบเจอโน่นแหละความลับจึงแตก
คนเกิดปีนี้ เป็นคนประเภทหงิมๆ สนิมหลบใน
เห็นท่าทางเงียบๆอย่างนี้แล้ว อย่าคิดว่าเรื่องความรักความใคร่ จะไม่ได้เรื่อง
บทรักของเขาไม่เบาหรอกนะจะบอกให้
คนเกิดปีจอก็มีปัญหาวุ่นๆ กับเขาเหมือนกัน ประเภทเรื่องความรักความใคร่นี่แหละ
เพราะความไม่แคร์ โดยไม่กลัวเปลืองตัวของเขา
บางครั้งแค่อยากลองสนุกๆ แต่จะถอนตัวก็ลำบากเหมือนกันนะ
เมื่อมีแฟนเป็นตัวเป็นตนนั่นแหละ ชาวปีจอจึงจะหยุดพฤติกรรมอย่างว่าได้หมด
แล้วหันมารักเดียวใจเดียวได้ทันทีเหมือนกัน

ปีกุน
คนปีหมูดูน่ารักแต่ทำคนอกหักมานับไม่ถ้วน แต่ก็พอๆกับที่ตัวเองอกหักนั่นแหละ
อารมณ์ของคนหนุ่มสาวชาวปีกุน ก็ร้อนแรงเหมือนกันนะ
ถ้าเป็นสาวก็ประเภทไฟแรงสูง ถ้าเป็นหนุ่มก็อยู่ในกลุ่มฮิตาชินั่นแหละ
เขาและเธอเป็นคนมีเสน่ห์ ใครเห็นก็อยากใกล้ชิด
และก็อย่างที่บอกนั่นแหละ คนเกิดปีนี้เขามีไฟ ถ้าเข้าใกล้ก็จะวูบวาบได้ง่ายๆ
พวกเขาจริงจังในทุกๆเรื่อง ยกเว้นในเรื่องความรัก
ถ้าใครจะรักชาวปีกุนก็ต้องทำใจซักหน่อย
เพราะเขาและเธอออกจะรวนเร และหวั่นไหวเอาง่ายๆ
มีหัวใจที่เปลี่ยนแปลงเหมือนกังหันต้องลมเลยแหละ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาและเธอยังเป็นคนที่ไม่ยอมหักห้ามใจ มีไฟรักอยู่เต็มเปี่ยม
โรคประจำตัวของคนเกิดปีนี้คือการแพ้คนหล่อ คนสวย
แบบที่ว่าหน้าตาดีอย่าได้ย่างกรายเข้ามาใกล้เชียว จะทำให้คนเกิดปีกุนหลงรักเอาง่ายๆเลยล่ะ
ถ้ารู้จุดอ่อนของตัวเองแล้ว ต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้
ความวุ่นวายในชีวิตก็จะลดลงมากทีเดียว
คนเกิดปีกุนที่เป็นผู้หญิง จะดีกว่าผู้ชายเล็กน้อย ในเรื่องคู่ครองและความรัก
คือถ้าเจอคู่แท้ก็แล้วไป สาวเจ้าก็จะได้ไม่เปลืองตัวและปล่อยใจให้ก็ใครๆอีก
แต่สำหรับหมูหนุ่ม จะไม่หยุดอยู่แค่นั้นหรอก จึงมักจะหาคนจริงจังได้ยากสักหน่อย
ตำราบอกว่าผู้หญิงปีกุนส่วนมากมักจะมีคู่ที่อ่อนวัยกว่า

เสริมราศีด้วยขนม

เสริมราศีด้วยขนม



ราศีมังกร
คนธาตุดิน ไม่ต้องการรสชาติโดดเด่น และเน้นความประณีต ประดิดประดอย

ราศีกุมภ์
คนธาตุลม ไม่ค่อยชอบอะไรง่าย ๆ สนใจเค้ก ขนมปัง ประเภทเบเกอรี่มากกว่าขนมไทย ชอบดื่ม น้ำส้ม น้ำเสาวรส น้ำแอปเปิ้ล ฯลฯ

ราศีมีน
คนธาตุไฟ ไม่ค่อยร้อนเท่าไร ต้องเลือกขนมฟองมุก ขนมเล็บมือนาง และประเภทข้าวเม่า ข้าวตัง เสริมการมีมนุษยสัมพันธ์คนรอบข้าง และชอบน้ำผัก ผลไม้เพื่อสุขภาพ

ราศีเมษ
คนธาตุไฟ เหมาะกับขนมประเภทเย็น ๆ พวกกะทิ อย่างลอดช่อง ซาหริ่ม ลอยแก้วต่าง ๆ ส่วนเครื่องดื่มผลไม้ตามฤดูกาล

ราศีพฤษ
คนธาตุดิน รักชอบในศิลปะแบบโบราณ ขนมไทยต้องกึ่งแห้งกึ่งเปียก เช่น ขนมชั้น เปียกปูน ขนมกรวย ขนมถ้วย เครื่องดื่มอย่างน้ำมะตูม น้ำตะไคร้ เก๊กฮวย

ราศีเมถุน
คนธาตุลม เอาแน่เอานอนยาก จะทานขนมที่หายาก เช่น ขนมกระจัง ขนมหน้านวล หรือขนมตามวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ เครื่องดื่มประเภทค็อกเทล น้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์นิดหน่อย

ราศีกรกฎ
คนธาตุน้ำที่ใจเย็น ใจดี นุ่มนวล ขนมประเภทหวานมัน อย่างข้าวเหนียวสังขยา ขนมประเภทแกงบวช เครื่องดื่มน้ำหวานธรรมดา ชา กาแฟทั้งร้อน ทั้งเย็น

ราศีสิงห์
คนธาตุไฟ ค่อนข้างเอาแต่ใจ ขนมต้องการสีสันสดใส เช่น สีแดง ส้ม ทอง ประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง จ่ามงกุฎ ข้าวเหนียวแดง ดื่มน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์นิดหน่อย หรือน้ำสมุนไพรชาดอกคำฝอย จับเลี้ยง

ราศีกันย์
คนธาตุดิน ค่อนข้างใจเย็นและมั่นคง เลือกขนมคู่บารมีต้องมีสีขาว หรือสีนวลงามตา อย่างขนมผิง ขนมหน้านวล วุ้นกะทิ เครื่องดื่มประเภทเพื่อสุขภาพ รังนก โสม น้ำสมุนไพรเป็นสิริมงคล

ราศีตุลย์
คนธาตุลมไม่ค่อยยินดียินร้ายอะไร เลือกทาน ขนมฝักบัว สำปันนีอ่อน ช่อม่วง ชอบน้ำผักผลไม้คั้นสด ๆ

ราศีพิจิก
คนธาตุน้ำ ชอบขนมประเภทน้ำ และมีกะทิเป็นส่วนประกอบ ประเภทแกงบวช ขนมครองแครง ไข่เต่า ปลากริม บัวลอย หรือโรตีสายไหม เครื่องดื่มต้องมีรสเปรี้ยวอย่างน้ำมะนาว สับปะรด น้ำมะขามเสริมความเป็นตัวเอง และความมั่นใจ

ราศีธนู
คนธาตุไฟ เหมาะกับขนมมงคลพิธีต่าง ๆ เครื่องดื่มประเภทของสูง เช่น น้ำมะพร้าว น้ำตาลสด ชา กาแฟใส่นม

8 วิธีสวยด้วยน้ำผึ้ง

8 วิธีสวยด้วยน้ำผึ้ง

เกร็ดความรู้วันนี้ขอเสนอ ความสวยที่ได้มาจากน้ำผึ้ง แต่ก่อนจะลงมือทำสวย เรามาทดสอบก่อนดีกว่าว่า น้ำผึ่ง ที่มีอยู่นั้น ของแท้หรือของเทียม

เริ่มจาก นำน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านความร้อนใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติจะสังเกตเหตุเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน

หลังจากรู้แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติเสริมสวยกันเลย...

1. น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

2. หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

4. ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5. ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7. สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8. เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

**ข้อมูลจาก นิตยสารสุดสัปดาห์**

เคล็ดลับง่ายๆ 7 วิธี ที่ทำชีวิตให้มีความสุข

เคล็ดลับง่ายๆ 7 วิธี ที่ทำชีวิตให้มีความสุข

มนุษย์เราทุกคนล้วนอยากมีชีวิตที่ดี และมีความสุข แต่ในปัจจุบันมนุษย์ยิ่งนำชีวิตเข้าสู่หนทางแห่งความทุกข์มากขึ้น เพราะการอยากได้ใคร่มี ดังนั้นจึงได้เป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ทั้งนี้กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จะขอนำ "เคล็ดลับแห่งความสุขเบื้องต้น" มาบอกกล่าวกัน

1. ต้องรู้จักการ เป็น "ผู้ให้" ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ความรู้ น้ำใจ ข้อแนะนำ หรือสิ่งอื่นใดก็ได้ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้รับ พระพุทธเจ้าบอกว่า "ผู้ให้ ย่อมผูกไมตรีไว้ได้" นั่นก็หมายความว่า ใครก็ตามที่เป็น "ผู้ให้" ย่อมสร้างไมตรีให้เกิดขึ้นในใจของผู้รับ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดี และเป็นมิตรต่อกัน

2. กัลยาณมิตร การมีเพื่อนที่ดี ย่อมทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ดั่งในยุทธจักรเขาว่า "ท่ามกลางลมหนาวและพายุร้าย หากที่นั่นมีสหาย ทั้งหมดจะกลายเป็นลมหายใจอันอบอุ่น ที่ซึ่งมีมิตรแท้ จักอบอุ่นและเจิดจ้าตลอดกาล"

3. ดำรงชีวิตแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ รู้จักความเพียงพอ อย่าตกเป็นทาสของลัทธิบริโภคนิยม ที่ต้องวิ่งตามโลกไม่ได้หยุดได้หย่อน ดั่งในยุทธจักรเขาบอกว่า "ในโลกนี้ก็มีแต่คนที่รู้จักพอ จึงสามารถได้ลิ้มรสความเบิกบานที่แท้จริง"

4. อย่าหวังมากเกินไป จงตั้ง "ความหวัง" ในสิ่งที่เป็นไปได้ และไม่ยากจนเกินความสามารถของเรา และหากไม่ได้ดังหวังก็ต้องหัด "ปลง" เสียบ้าง ในยุทธภพจึงสอนว่า "คนผู้หนึ่งขอเพียงปลงได้ตก ในโลกก็ไม่มีเรื่องใดควรคู่ให้ปวดร้าวกลัดกลุ้มอีก"

5. ละ ความโกรธ เกลียด ลงบ้าง ให้ใช้หลักเมตตา และให้อภัย โดยเฉพาะกับคน หรือสัตว์ หรือหากยังทำใจเมตตาไม่ได้ อย่างน้อยก็ให้ "วางเฉย" คิดเสมอว่าอย่าให้สิ่งเหล่านี้ มามีอิทธิพลเหนือจิตใจเรา

6. รักและพอใจงานที่ทำ เพราะมันเป็นส่วนสำคัญ และกินเวลาเกือบครึ่งค่อนของชีวิตของเรา หากเราไม่ "รักงาน" ของเราแล้ว ชีวิตที่เหลือคงเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น และเราก็ต้องจมปลักไปกับความเบื่อที่ยาวนาน

7. ทำตน "ใฝ่รู้" อยู่เสมอ เช่น อ่านหนังสือทุกชนิด เรียนคอมพิวเตอร์ อบรมภาษา ฯลฯ เพราะจะทำให้เราไม่ล้าสมัย หรือตกยุค แต่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นคนอมทุกข์ เหงาหงอย เพราะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับใครก็ได้

เคล็ดลับแห่งความสุขข้างต้น เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ยาก แต่เคล็ดลับของเคล็ดลับก็คือ ความตั้งใจที่จะเริ่มปฏิบัติตามกฎ มิฉะนั้นแล้ว ความสุขที่เราปรารถนา ก็ยังจะเป็นทุกข์ที่เราเรียกหามันอยู่ทุกวัน

อัญมณีประจำเดือนเกิด

อัญมณีประจำเดือนเกิด
สำหรับผู้ที่เกิดในเดือนมกราคม อัญมณีประจำเดือนเกิดของท่านคือพลอยการ์เนต (Garnet) หรือ พลอยโกเมนซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอัญมณีแห่งความมั่นคง ความน่าเชื่อถือและ ความงดงาม ในสมัยอียิปต์โบราณเชื่อกันว่า อัญมณี ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการมีชีวิต (Symbol of Life) และยังมีความเชื่ออื่นๆ อีก เช่น โกเมนเป็นอัญมณีแห่งแสงสว่างโนอาห์ได้ใช้ แขวนไว้ ในเรือ เพื่อใช้ส่องสว่างหรือเชื่อว่าอัญมณีชนิดนี้ สามารถใช้ในการรักษาโรคได้ เป็นต้นการ์เนต (Garnet) มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน“Granatum”หรือ “Granatus”หมายถึงเมล็ดสี แดง ของผลทับทิม ทั้งนี้ก็เพราะว่า อัญมณีชนิดนี้มีสีแดง คล้ายกับเมล็ด ของผล ทับทิม และมักจะพบผลึก ของ อัญมณีชนิดนี้ฝังอยู่ในเนื้อหิน โดยมีลักษณะ คล้าย การฝังตัว ของ เมล็ดในผลทับทิมโดยธรรมชาตินั้น การ์เนต(Garnet)มีอยู่หลายสียกเว้นสีน้ำเงิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแร่ที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในเนื้อหิน แต่สีที่พบมากที่สุด คือ สีแดง ชนิด ไพโรป (Pyrope) คำว่าไพโรป นี้มาจากภาษา กรีก แปลว่า “ เหมือนไฟ ”

นอกจากนี้ยังมีชนิด อัลมานไดน์ “Almandine” มีสีแดง อมน้ำตาล (Brownish-red) ,สเปซซาไทต์ หรือ สเปซซาไทน์ “Spessatite or Spessartine” มีสีส้มจนถึงสีแดงอมส้ม, อัมบาไลต์“Umbalite” สีม่วงอมชมพู(Light pinkish-purple)ซึ่งเป็น การ์เนตที่มีส่วนผสมของไพโรป, อัลมานไดน์ และ สเปซซาไทน์ สำหรับ ในประเทศไทย เราจะเรียก อัญมณีนี้ว่า “โกเมน” ซึ่งหมายถึง การ์เนตชนิด สีแดงนั่นเอง ปัจจุบัน การ์เนตที่มีสีเขียว “Uvarovite or Tsavorite”กำลังเป็น ที่นิยม อยู่เหมือนกัน

อัญมณีแห่งความจริงใจ และความมีสติ คือพลอยประจำเดือนเกิด ของคนเดือน กุมภาพันธ์อเมทีสต์เป็นอัญมณี สีม่วงเหมือนดอกตะแบกซึ่งจัดอยู่ในแร่ตระกูลควอทซ์ (Quartz) อัญมณีชนิด นี้ มีการค้นพบว่ามีการ ใช้งานในประเทศจีนมากว่า 8,000 ปี มาแล้ว อเมทีสต์ (Amethyst) มาจากภาษากรีก (Amethystos) แปลว่า “ไม่ทำให้เมา”ซึ่งก็น่าจะมาจากนิยาย กรีก โบราณ ที่เล่าต่อกันมา เกี่ยวกับ “แบคคัส” (Bacchus) เทพเจ้าแห่ง เหล้าองุ่น (The Godof Wine) รู้สึกโกรธแค้นที่ถูกเทพธิดาไดอาน่า ทอดทิ้งจึงได้สาปแช่งว่า ผู้ใดก็ตามที่ ผ่านเข้ามา จะต้องถูกเสือของเขาจับกิน วันหนึ่งมีหญิงสาวบริสุทธิ์ นางหนึ่งชื่อว่า อเมทีสต์เดินทาง ผ่านมาเพื่อที่จะไปสักการะเทพธิดาไดอาน่า ได้ถูกเสือของแบคคัส ตรงเข้า ทำร้าย อเมทีสต์ เห็น ดังนั้น จึงได้ร้องตะโกน เพื่อขอให้ เทพธิดาไดอาน่า ที่นางนับถือช่วยเหลือ เทพธิดาไดอาน่าจึงได้เปลี่ยนร่างของหญิงสาวให้กลายเป็นผลึกหิน ควอทซ์ ที่ใสบริสุทธิ์ เพื่อให้ รอดพ้นจากเขี้ยวเล็บของ เสือ แบคคัสเห็นดังนั้นก็รู้สึกเสียใจในการกระทำของพระองค์เองจึงนำ เหล้าองุ่นเทลงบนแห่งผลึก หิน ควอทซ์อเมทีสต์ โดยปล่อยให้ส่วนขาและเท้าของเธอ ยังเป็น ส่วนที่ ใสอยู่นี่เองจึงเป็นที่มาของ ชื่อเรียกอัญมณีชนิดนี้ว่า อเมทีสต์ และลักษณะของแร่อเมทีสต์ที่พบในธรรมชาติก็จะมีลักษณะใส ตรงบริเวณโคนผลึกและจะมีส่วนที่เป็นสีม่วง บริเวณกลางจนถึงปลายผลึก

อัญมณีแห่งความกล้าหาญ คือ อัญมณีประจำเดือนเกิดของผู้ที่เกิดในเดือนมีนาคม อะควอมารีน เป็นอัญมณีสีฟ้า อมเขียว (Greenish-Blue) จนถึงสีเขียวอมฟ้า (Bluwish-green)สำหรับ สีที่เป็นที่นิยมจะเป็นสีฟ้าน้ำทะเล อะควอมาริน เป็นพลอยที่อยู่ในแร่ตระกูล เบริล (Beryl)ซึ่งเป็นแร่ตระกูลเดียวกับมรกตอะควอมารีน (Aquamarine) มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน 2 คำคือ “Aqua” ซึ่งแปลว่าน้ำ และ “Mare” ซึ่งแปลว่า ทะเล จึงมีความหมายว่า “น้ำทะเล” เป็นการบ่งบอกถึงสีของอัญมณี ชนิดนี้ได้อย่างชัดเจน ตามความเชื่อโบราณเชื่อกันว่าอัญมณีชนิดนี้เป็นอัญมณีของเทพธิดา แห่ง ท้องทะเล นางเงือกทำให้กะลาสี , ชาวเรือ เชื่อกันว่าหากมีไว้ใน ครอบครองจะทำให้เดินทาง ทะเล ได้อย่างปลอดภัยและยังมีความเชื่อว่า อัญมณี ชนิดนี้ จะทำให้ผู้ ที่มีไว้เป็นผู้ที่มีจิตใจสงบไม่ ฟุ้งซ่าน มีความสุขกายสบายใจจึงเป็นที่นิยมสำหรับ คู่แต่งงานด้วยสำหรับราคาของ อะควอมารีน นั้นจะขึ้นอยู่กับความเข้มของสี ยิ่งมีความเข้มมากราคาก็จะ ยิ่งสูงแต่ทั้งนี้ยังต้องพิจารณาถึงตำหนิที่มีด้วยเพราะในธรรมชาติก้อนผลึกอะควอมารีน ส่วนใหญ่จะ ค่อนข้างบริสุทธิ์ ใส่ไม่ทึบหากอะควอมารินเม็ดใดมีตำหนิมาก ทึบแสงก็จะ มีราคาถูก

“ เพชร ” เป็นอัญมณีประจำเดือนเกิด ของผู้ที่เกิด เดือนเมษายน อัญมณีที่บ่งบอกถึง ความบริสุทธิ์ ความสมบูรณ์แบบ เพชรเป็นที่นิยมกันมากในทุกยุคทุกสมัยจากหลักฐานที่ปรากฎมีการค้นพบเพชรครั้งแรก ในประเทศ อินเดียเมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้วและนับเป็นเวลาหลายศตวรรษที่เดียวที่ อินเดีย เป็นแหล่งเพชรดิบที่สำคัญ แห่งหนึ่งของโลก ในปี ค.ศ. 1866 มีการ ค้นพบ เหมือง เพชร ที่สำคัญ ในทวีปแอฟริกา หลังจากนั้นจึงเริ่มมีอุตสาหกรรรม การค้าเพชรกันอย่างแพร่หลายจวบจนปัจจุบัน นี้นอกจากเหมืองในทวีปแอฟริกา แล้วยังมีการค้นพบแหล่ง เพชรดิบ ในอีกหลายส่วน ของ โลกเช่น ประเทศรัสเซีย, ออสเตรเลีย, แคนาดา เป็นต้นคำว่า เพชร (Diamond) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก “Adamas” ซึ่งหมายความว่าไม่ สามารถพิชิตได้ (Unconquerable) และในตำนานกรีกยังเชื่อกันว่า เพชรคือดวงดาว ที่ ล่วงหล่น ลงมาจากท้องฟ้า บ้างก็ว่าเพชร คือ หยดน้ำตาของเทพเจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเพชร คือ ผลึก คาร์บอน ซึ่งมีคุณสมบัติ แข็งแกร่ง ทนทาน ใสบริสุทธิ์ ไม่มีสีเจือปน และยังไม่ทำ ปฏิกิริยากับกรด และ ด่างด้วยสำหรับเพชรที่นำมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับนั้น จะมีเพียง 20 % ของปริมาณเพชรดิบที่ขุดได้ทั้งหมดที่เหลือจะมีคุณภาพ เพียงเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เท่านั้นเพชรที่นำมาใช้ทำเครื่องประดับนี้ก็จะมีการจำแนกตามคุณภาพของเพชรเม็ดนั้นๆโดย มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ที่เรียกกันว่า 4’C ( Cutting , Color , Clarity , Carat weight) ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์สากลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

เดือนพฤษภาคม อัญมณี แห่งความชุ่มชื่น และ ความสมบูรณ์ของมวลพฤกษาในฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่ามรกตเป็นอัญมณีแห่งความรักของคู่รักอีกด้วยทั้งนี้ก็เพราะว่ามรกตเป็นอัญมณีที่โปรดปราณของเทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความรัก (Goddess of Love) เชื่อกันว่า มรกตมีพลังอำนาจดลใจให้คู่รักมีความรักและซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน หากวันใดที่ความรักจืดจากลง สีของมรกตก็จะจืดจางลงเช่นกันมรกต “Emerald” บ้างก็ว่ามีรากศัพท์มาจาก ภาษาเปอร์เซีย หรือ ภาษากรีกว่า “Smaragdos” หมายถึง หินที่มีสีเขียว ซึ่งในอดีตไม่ได้หมายถึงเฉพาะมรกต แต่ยังหมายถึงหินสี เขียวทุกชนิด มรกตเป็นอัญมณีที่อยู่ในตระกูลเบริล (Beryl) เช่นเดียวกับ อะควอมารีน โดยปกติ แล้วเบริลจะเป็นธาตุที่ใสไม่มีสี แต่มรกตมีสีเขียวก็เพราะมี ธาตุโครเมียม (Chrome) ปนอยู่ใน เบริล อัญมณีชนิดนี้จะค่อนข้างมีรอยแตก หรือ ที่เราเรียกว่าตำหนิ ในตัวมันเองค่อน ข้างมากจึงทำให้มรกตมีความเปราะบางแตกหักได้ง่ายแม้ว่าตัวมันเองจะมีความแข็งถึง 7.5-8 สเกลโมล (Mohs’ scale) ก็ตาม (เพชรมีค่าความแข็ง 10 สเกลโมล)

อัญมณีสำหรับเดือนมิถุนายนที่เป็นที่นิยมมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ ไข่มุก“ Pearl ”และ มุกดาหาร“Moonstone” ดูเหมือนว่าไข่มุกจะเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมมากกว่าไข่มุก “Pearl” มาจากภาษาละติน “Pilula” แปลว่าลูกบอลในสมัยโบราณรู้จักไข่มุกในชื่อ ของ มาร์กา ไรต์ “Margarite” ซึ่งมาจากภาษากรีก “Margaritafera” ชื่อนี้หมายถึงหอยที่มีมุกฝังอยู่มีเรื่องเล่าต่อกันมาถึงที่มาของไข่มุกว่า ไข่มุกนั้นเกิดจากน้ำค้าง ที่หยดลงมา จากสวรรค์ ใน คืนวันพระจันทร์เต็มดวง และได้นำแสงอันอ่อนละมุนน่าพิศวงจากดวงดาวติดตัว มาด้วยบ้างก็ว่าไข่มุกเป็นหยดน้ำตาแห่งความปิติ ของเทพธิดาที่หลั่งออกมา ให้กับโชคชะตา ชีวิตของมวลมนุษย์ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าไข่มุกเป็นอัญมณีแห่งความมั่งคั่งสมบูรณสีสันต่างๆ ของไข่มุกยัง แสดงถึงสัญลักษณ์ต่างๆ กันออกไป เช่น ไข่มุกขาว หมายถึง ความมีอุดมคติหรือความ เป็น เลิศ, ไข่มุกดำ หมายถึง ปรัชญา เป็นต้น ี้ยังไม่หมดนะครับ สำหรับเดือนมิถุนายน ยังมีมุกดาหาร“Moonstone”ซึ่งเป็นอัญมณีชนิดที่สองของเดือนนี้ “Moonstone” มากจากภาษาละติน “Luna” หมายถึง พระจันทร์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าสีของ Moonstone จะออกลักษณะ ที่คล้ายกับ การเรืองแสงของดวงจันทร์คือจะ ออก เป็น ลักษณะ สีเรื่อๆ ไม่รุนแรง บาดตา เมื่อมองแล้วทำให้ ชวนหลงไหล กับความงามของมันในประเทศอินเดียเชื่อกันว่า Moonstone จะนำความโชคดีมาให้และถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นในสมัยโบราณ จึงไม่มีการซื้อขายกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชนิดที่มีสีเหลือง Moonstone เป็น อัญมณีในตระกูล เฟลสปา “Feldspar” ซึ่งเป็นธาตุที่ค่อนข้างเปราะ มีค่า ความแข็ง ประมาณ 6-6.5 โมลสเกล (Mohs’ scale) จึงทำให้ง่าย ต่อการเจียรไน เป็น รูปทรง ต่างๆ เพื่อใช้ทำเป็นเครื่องประดับประเภท จี้ , ต่างหู และเข็มกลัด เป็นต้น ปัจจุบันศรีลังกาเป็นแหล่งที่พบ“Moonstone” ที่มีคุณภาพมากที่สุด นอกจากนี้ยังพบใน ประเทศ พม่า และ อินเดีย ออสเตรเลีย บราซิล แต่คุณภาพ ก็ไม่สามารถเทียบกับ “Moonstone” ที่มากจาก ศรีลังกาได้ “Moonstone” ที่มีคุณภาพดี ตัวเนื้อจะค่อนข้างใส โปร่งแสง ไม่ทึบและจะ ต้องมีตำหนิน้อยที่สุด

อัญมณีสีแดงสด ทับทิม (Ruby) เป็นอัญมณีประจำเดือนเกิดของผู้ที่เกิด ในเดือน กรกฎาคม ทับทิม( Ruby ) มาจากภาษาละติน “Rubeus” แปลว่า สีแดง ส่วนรากศัพท์ เดิม มาจาก ภาษาสันสกฤตะ Ratnaraj” หรือ “Rajnapura” แปลว่าราชาแห่งอัญมณี ( King of Gems) เนื่องด้วย เพราะ ความสวยงามและความหายากนั่นเองกล่าวกันว่ามูลค่าของทับทิมบางเม็ดจะมีราคาสูงกว่าราคาของอัญมณีอื่นๆ แม้กระทั่งเพชรก็ตาม เช่น ในปี คศ.1988 มีการ ซื้อขายทับทิม เจียรไน น้ำหนัก 15.97 กะรัต ในราคา 3630000 us หรือ 227301 us ต่อกะรัต เลยทีเดียวทับทิม ( Ruby) เป็นอัญมณีในตระกูลคอลันดัม ( Corundum) เช่นเดียวกับ ไพลิน และบุษราคัมมีค่าความแข็งอยู่ที่ 8 ไมลสเกล ซึ่งจะเป็นรองก็เพียงแต่เพชร เท่านั้น จึงเหมาะ ที่จะนำมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับ สำหรับการประเมินมูลค่าของทับทิม ปัจจัยแรกที่พิจารณา คือ เรื่องของสีเพราะเสน่ห์ของทับทิมจะอยู่ที่สีแดง ที่มีหลายเฉดด้วยกัน แต่เฉดสีที่นิยม และ หายาก ได้แก่สีแดงสดเพริดอต (Peridot)

อัญมณีสีเขียว ใสบริสุทธิ์ เป็นอัญมณีประจำเดือนเกิด ของคน เดือน สิงหาคมสีเขียวของเพริดอตบางครั้งเป็นที่รู้จักกันในนามEvenningemerald แต่อัญมณี ชนิดนี้ ไม่ใช้ธาตุชนิดเดียวกับมรกตเลยแม้แต่น้อย คนในสมัยโบราณเรียกพลอยชนิดนี้ว่าเป็น “ อัญมณีแห่งดวงตะวัน ” (The gem of the sun) เพราะ มีความเชื่อว่าเพริดอตมีอำนาจขับไล่ภูตผีปีศาจ และ ทำให้ผู้สวมใส่มีเสน่ห์ ในสมัย อียิปต์โบราณ รู้จักอัญมณีชนิดนี้ในชื่อ “Topazion” ซึ่งมีที่มาจากแหล่งที่ค้นพบ อัญมณี ชนิดนี้ ก็คือ เกาะ Topazos” หมายถึง การเสาะแสวงหา ปัจจุบันเกาะนี้ เรียกกันว่า เกาะ “Zarbagad” หรือ ในภาษาอาระบิกว่า “Peridot” ซึ่งมีความหมายว่า หินมีค่าหรือรัตนชาติ เพริดอตเป็นอัญมณีที่มีสีเขียวคล้ายสีของผลมะนาวเขียวอมเหลือง(Yellowish-Green)จนถึงสีเขียว เข้มอมน้ำนาล(Brownish–Green)ค่าความแข็งของอัญมณีชนิดนี้อยู่ที่ประมาณ6.5 โมลสเกล (Moh’s scale) จึงไม่ใช่อัญมณีที่แข็งมากนัก ดังนั้นผู้ที่ต้องการ จะเป็นเจ้าของ เครื่อง ประดับที่มีเพริดอตประดับอยู่จึงต้องระมัดระวังในการสวมใส่ และเก็บรักษาที่ดีพอสมควรทีเดียว

แซฟไฟร์ “Sapphire” อัญมณีประจำเดือนกันยายน Sapphire มาจากภาษาฮิบรู “Saffir” หรือ จากภาษากรีก “Sappheiros” หมายถึงสีน้ำเงิน “Blue” ซึ่งสมัยโบราณ จะเรียกอัญมณีที่มีสี น้ำเงินว่า แซฟไฟร์(ปัจจุบันหากพูดถึงแซฟไฟร์ “Sapphire”คำเดียวจะหมายถึง Blue Sapphire หรือ ไพลิน) แต่ในความเป็นจริงแล้ว Sapphire มีหลาก หลายสีเช่น สีเหลือง, ชมพู,ม่วง,เขียว เป็นต้น ดังนั้นหากเรา จะเรียกอัญมณีชนิดนี้ที่ไม่ใช่ สีน้ำเงิน แล้วจะต้องระบุ สีด้วย เช่น Yellow Sapphire(บุษราคัม),Green Sapphire (เขียวส่อง) ,Padparadsha Sapphire (พลอย สามสี) เป็นต้นชาวเปอร์เซียโบราณเชื่อกันว่าแซฟไฟร์ คือ “หินที่มาจากฟ้า” เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าโลก ตั้งอยู่บน แซฟไฟร์ ขนาดมหึมา จึงทำให้สะท้อนแสงแดด ออกไปสู่ท้องฟ้ามีสีน้ำเงิน นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีคนบางกลุ่ม เชื่อว่า แซฟไฟร์เป็นพลอยของกษัตริย์ที่ใช้สวมใส่เพื่อป้องกันภยันตรายและถือเอาอัญมณีชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความจริงใจ และมั่นคงอัญมณี

สำหรับผู้เกิดเดือนตุลาคมมีให้เลือกใช้ถึง 2 ชนิดคือ โอปอล Opalอัญมณีแห่งความหวังโอปอลเป็นอัญมณีที่มีสีสรรดั่งเช่น สีของสายรุ้ง นักประพันธ์ ชาวโรมันนาม ไพลนี “Pliny” ได้บรรยายความงาม ของสีสันต่างๆที่ผสมกลมกลืนรวมกันอยู่ในโอปอลว่ายามเมื่อมองเห็นโอปอล ราวกับ มองเห็นแสงไฟที่มีชีวิตของอะเมทิสต์, เขียวน้ำทะเล ที่สวยสดใส ของมรกต ร่วมกันส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ สวยสุดที่จะพรรณาOpal มีรากศัพท์จากภาษาสันสกฤต “ อูพาลา ” (Upala) แปลว่า " หินที่มีค่า " โอปอลเป็นอัญมณีที่ค่อนข้างเปราะแตกหักได้ง่ายจึงต้องระมัดระวังในการสวมใส่และเก็บรักษาอัญมณีอีกชนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่เกิดเดือนตุลาคมคือทัวร์มารีน(Tourmaline)อัญมณีชนิดนี้มีมากมายหลายสี เช่น สีแดง, ส้ม, เหลือง, เขียว, น้ำเงิน, ม่วง, ดำหรือแม้กระทั่งไม่มีสีเลยก็ได้และสิ่งที่พิเศษสำหรับทัวร์มารีนก็คือสามารถ พบทัวร์มารีนที่มีสีตั้งแต่ 2 สี จนถึงหลายสีได้ ในเม็ดเดียวกัน เช่น Water melon ทัวร์มารีนซึ่งจะมีสีชมพูอยู่บริเวณด้านในล้อมรอบด้วยสีเขียวบริเวณ ขอบเม็ดดูเหมือนผลแตงโมนั่นเองทัวร์มารีนมีรากศัพท์มาจากภาษาสิงหล (Sinhalese) คำว่า “Turmali” “ทรูมาลี” มีความ หมายว่า อัญมณีที่มีสีผสมกัน “Stone of mixed colours” ค่าความแข็งของ ทัวร์มารีน จะอยู่ที่ประมาณ 7-7.5 โมลสเกล จึงค่อนข้างแข็งสามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับได้หลายชนิด ทัวร์มารีนจะมีชื่อเรียกเฉพาะในแต่ละเฉดสีด้วยเช่น “รูบิไลต์” (Rubellite) (Deep pink to red to violet red) , “ อินดิโคไลต์” (Indicolite) (indigo blue and greenish blue) เป็นต้นอัญมณี

สำหรับผู้ทีเกิดเดือน พฤศจิกายนจะเป็นอัญมณี ที่มีสีเหลืองอันเป็นสัญญาลักษณ์ แห่ง ฤดใบไม้้ร่วงซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ โทแพซ (Topaz) และ ซิทริน (Citrine) นั่นเองโทแพซ (Topaz) เป็นอัญมณีที่มีอยู่หลายเฉดสี แต่ในอดีต เมื่อกล่าวถึงโทแพซ จะหมายถึง อัญมณีที่มีสีเหลือง คำว่า "โทแพซ" มาจากภาษากรีกโทแพเซียน “Topazian” หมายถึงการเสาะแสวงหาต่อมากลายเป็นชื่อเกาะ ที่พบอัญมณีชนิดนี้ก็คือ เกาะโทแพซอส “Topazios” ซึ่งตั้ง อยู่ในทะเลแดง ปัจจุบันเกาะนี้มีชื่อเรียกว่า ซีเบอร์เกต (Zebirget)ซีทริน(Citrine)เป็นอัญมณีที่มีสีเหลืองจนถึงสีเหลืองส้มเชื่อกันว่าซีทริน เป็นอัญมณีแห่งการปกป้องและการรักษา คำว่าซิทรินนี้มาจากภาษาฝรั่งเศส“Citron”แปลว่ามะนาว(lemon) เพราะสี ของอัญมณีชนิดนี้นั่นเองบางครั้งจะเกิดการสับสนระหว่างโทแพซที่มีสีเหลืองกับซิทรินว่าเป็น อัญมณีชนิดเดียวกันแต่ที่จริงแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง ซิทรินเป็นแร่ควอทซ์ (Quartz)เช่นเดียวกับอเมทิสต์(Amethyst)แต่เป็นควอทซ์ชนิดที่มีสีเหลืองในการจำแนกโทแพซและซิทรินนั้น จะใช้ค่าความแข็งเป็นตัวบ่งชี้ซิทรินจะมีค่าความแข็งอยู่ที่ 7 โมลสเกล ส่วน โทแพซจะอยู่ที่ 8 โมลสเกลเทอร์คอยซ์ หรือ พลอยขี้นกการะเวก (Turquoise)

อัญมณีสีฟ้า สำหรับผู้ที่เกิด เดือน ธันวาคมเป็นอัญมณีที่รู้จักกันมากว่า 5,000 ปีแล้ว (3,000 BC) ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณส่วนคำว่า เทอร์คอยซ์ มาจากคำในภาษาฝรั่งเศส “ Pierre turquoise” ซึ่งหมายถึง “ Turkey stone” หรือ หินตุรกี สาเหตุมาจากเส้นทางการนำอัญมณีชนิดนี้สู่ดินแดนยุโรป โดยผ่านทางประเทศตุรกี ในช่วง ศตวรรษที่ 13 นั่นเอง ในอดีตเทอร์คอยซ์มีแหล่งที่มาจากเหมืองในแถบเปอร์เซีย ชาวเปอร์เซียเชื่อกันว่า เทอร์คอยซ์ เป็นอัญมณีแห่งโชคลาภ ผู้ที่ได้สวมใส่หรือครอบครองจะมีโชคแม้ในยามอยู่ในนิทราปัจจุบัน แหล่ง เทอร์คอยซ์ที่สำคัญ จะมาจากแถบพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอเมริกาอินเดียนแดงเผ่าอปาเช่ เรียกอัญมณีชนิดนี้ว่า ดุคลิจ (Duklij) ถือเป็นพลอยที่มีค่า นำมา ใช้เป็นเครื่องลางสีที่เป็นที่นิยมของเทอร์คอยซ์ก็คือสีฟ้าของท้องฟ้า (Sky blue) คล้ายกับสีฟ้าของ นกโรบิน

ดูแลผิวอย่างไรในแต่ละวัย

ดูแลผิวอย่างไรในแต่ละวัย

ผิวสาวใสในวัยสาว คือสิ่งที่คนเราถนอมหวงแหนเป็นที่สุด และอยากให้คงสภาพผิวสดใส เปล่งปลั่งข้ามวัยไปนานๆ เพื่อให้ผิวดีอยู่คู่กับตัวต้องเริ่มดูแลตั้งแต่แรกรุ่นกันแล้วล่ะค่ะ

วัย 20 ปี วัยนี้ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นช่วงวัยที่ผิวกำลังเปล่งปลั่งเต็มที่ แต่ก็มีอุปสรรคเล็กน้อยคือเกิดสิว เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง วัยนี้ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่อ่อนๆ (mild cleanser) ที่ผสมสารต้านการเกิดสิวเล็กน้อย เช่น ซาลิไซลิค แอซิด หรือซัลเฟอร์ และที่แน่นอนที่สุดต้องอย่าลืมใช้สารกันแสงแดดด้วยเสมอ
วัย 30 ปี เป็นช่วงเวลาที่เริ่มจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวให้เห็นกัน เช่น ผิวบางส่วนก็มัน บางส่วนก็แห้ง จนทำให้เจ้าตัวสับสนเลือกใช้เครื่องสำอางไม่ถูกกันเลย แพทย์ผิวหนังจึงมักแนะนำให้ใช้พวกที่ไม่มีส่วนผสมของสารใดๆ ที่เกี่ยวกับการรักษาสิว (noncomedogenic) และให้เลือกใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่นผสมวิตามิน C วิตามิน E หรือเบต้าแคโรทีน เพื่อช่วยซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลายเพราะแสงแดด นอกจากนี้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองแดง ชาเขียว หรือผสมสารอาหารที่เสริมสร้างคอลลาเจนก็น่าเลือกใช้เช่นกัน
วัย 40 ปี การบำรุงเพื่อชะลอความเสื่อมสภาพของผิวเป็นเรื่องจำเป็น ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ช่วงวัยนี้ต่อมไขมันจะลดการผลิตลง ดังนั้นรอยเหี่ยวย่นปนตีนกาก็จะทยอยมาแทนที่ผิวตึงๆ โดยเฉพาะรอบๆ ปาก ดวงตา วัยนี้ก่อนการเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมบำรุงทั้งหลาย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อตรวจดูสภาพผิว วัยนี้อาจจะเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ alpha-hydroxy acid (AHA) เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป นอกจากนี้ประเภทครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน A ที่ช่วยบรรเทารริ้วรอยต่างๆ ก็มีประโยชน์เช่นกัน
วัย 50 ปี ขึ้นไป ช่วงวัยนี้ผิวของคุณจะไม่ค่อยยึดหยุ่นและขาดน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขาดคอลลาเจน หลายคนเริ่มมีกระ ฝ้า หรือสีผิวที่เปลี่ยนไปในบางบริเวณ หากมีความเปลี่ยนแปลงมากลองพบหมอผิวหนังตรวจสอบดูสักหน่อย เพราะคนวัยนี้ภูมิต้านทานลดลง ความแข็งแรงของผิวลดลง ได้สัมผัสมลพิษมาตลอดชีวิต จึงอาจเป็นช่วงที่เป็นโรคทางผิวหนังต่างๆ ได้ง่าย เช่น ผิวหนังอักเสบ มะเร็งผิวหนัง เชื้อราบนผิวหนัง เป็นต้น เครื่องสำอางที่เลือกใช้ควรเป็นประเภทที่มีสารบำรุงคอลลาเจน และตามที่คุณหมอแนะนำ จะเห็นว่าในแต่ละวัยนั้นควรเลือกใช้เครื่องประทินผิวที่มีสารบำรุงต่างกัน
คนอายุยังน้อยไม่ถึง 30 อย่าใจร้อนที่จะไปเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารเข้มข้นลดริ้วรอยมาปรนเปรอผิวโดยไม่จำเป็น เพราะอย่างน้อยหากคุณเป็นคนใส่ใจตัวเองทั้งเรื่องการพักผ่อน ออกกำลัง อาหารที่เป็นประโยชน์ รู้จักละซึ่งความเครียดความโกรธ ผิวก็สามารถฟื้นตัว และแข็งแรงขึ้นได้เองตามธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

6 พิษอันตรายของผงชูรส

6 พิษอันตรายของผงชูรส
เคยรับประทานอาหารนอกบ้าน แล้วมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัวบ้างหรือไม่ อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากคุณรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสมากๆ เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตัวคุณได้ ดังนี้ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้ ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้ก่อนสั่งอาหารมื้อหน้าอย่าลืมระบุ อาหารที่ไม่ใส่ผงชูรส หรือทางที่ดีลองทำน้ำซุปแบบชีวจิตไว้ช่วยปรุงรสชาติแทนผงชูรสได้ค่ะ อย่างน้ำซุปแครอท ฟักเขียว เป็นต้น
มาเลือกเครื่องดื่มตามกรุ๊ปเลือดกัน
ในปัจจุบันนี้มีอาหารให้เลือกทานหลากหลาย แต่คุณรู้หรือไม่ว่า อาหารที่เราทานเข้าใปทุกวันนี้ บางชนิดก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเลย วันนี้เราจึงข้อมูลเรื่องการทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดมาฝาก เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการรักษาสุขภาพของตัวคุณเอง ก่อนอื่นเช็คตัวเองก่อนว่าเลือดกรุ๊ปอะไร? จากนั้นก็เช็คข้อมูลเพื่อดูแลตัวเองได้เลยค่ะ


เลือดกรุ๊ปโอจะมีกรดในกระเพาะอาหารสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก และเมื่อเกิดการสะสมแป้ง ร่างกายจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และจะกลายเป็นโรคเบาหวานและทำให้อ้วนง่าย อาหารที่ควรทานคืออาหารจำพวกสาหร่าย เกลือไอโอดีน อาหารทะเล และควรกินตับ กินบลอกโคลี ผักโขม เพราะจะช่วยในเรื่องประสิทธิภาพการเผาผลาญมากขึ้น
เครื่องดื่มที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอคือ น้ำสัปปะรด น้ำลูกพรุน
แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอบเปิล น้ำส้ม น้ำกระหล่ำปลี

เลือดกรุ๊ปเอ กรุ๊ปนี้จะตรงข้ามกับกรุ๊ปโอแทบจะทุกอย่าง เพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะหากกินมากเกินไปร่างกายจะไม่ยอมย่อย ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
หากต้องการกินเนื้อจริงๆ ควรบริโภคแค่เนื้อไก่เพราะไม่มีไขมันมาก หรือกินถั่วเหลืองแทนเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์
แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่นไส้กรอก แฮม เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร
ควรหันมากินผักและอาหารจากถั่วเหลือง เพื่อช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ น้ำแอปปริคอต น้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำเกรปฟรุต น้ำสัปปะรด น้ำมะนาว เพราะมีวิตามินซีสูง
แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอ และน้ำมะเขือเทศ

เลือดกรุ๊ปบี เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวกผักใบเขียว ตับ ไข่ นมไขมันต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ และ ควรดื่มน้ำกระหล่ำปลี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น น้ำมะละกอ น้ำสัปปะรด
แต่ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศเลือดกรุ๊ปเอบีคนเลือดกรุ๊ปนี้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เช่น บรอกโคลี เชอร์รี่ ส้มโอ เกรปฟรุต กะหล่ำปลี และดื่มน้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น และน้ำมะละกอ เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก กรุ๊ปเลือดนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินเพื่อสุขภาพร่างกายของคุณเองได้ เริ่มตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะสายเกินแก้นะค่ะ...

เราก้อกรุ๊ป บี เฮอ เซ็งแต่ก้อยังทานอยู่

ปัญหาเรื่องประจำเดือน (มีคำตอบ)

ปัญหาเรื่องประจำเดือน (มีคำตอบ)
ทำไมประจำเดือนจึงมาไม่สม่ำเสมอปัญหาความคลาดเคลื่อนของประจำเดือน มักทำให้เกิดความวิตกกังวลไปต่าง ๆ นานา แต่สาเหตุหลัก ๆ มักมาจากความเครียด ทำงานหนัก นอนน้อย หรืออาจจะเกิดจากการลดน้ำหนักจนขาดสารอาหาร ซึ่งทำให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องการเจริญพันธ์ผิดเพี้ยนได้ แม้จะไม่อันตรายนัก แต่หากประจำเดือนขาดหายไปนาน และมั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะอาจเกิดจากการไม่มีไข่ตก เนื่องจากความไม่สมดุลทางฮอร์โมนก็เป็นได้
รอบเดือนปกติของผู้หญิงคือกี่วันโดยทั่วไป รอบประจำเดือนของผู้หญิงอยู่ที่ 28 วันแต่ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในช่วง 21-35 วัน และถ้านานเกินกว่า 2 เดือน ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ
ปัญหาเลือดออกกระปริบกระปรอยส่วนใหญ่มักเกิดจาก การใช้ยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะในคนที่ใช้ยาคุมครั้งแรก อาจมีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอยได้ แต่อาการดังกล่าวมักจะหายไปเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดได้ ซึ่งมักจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ถ้ายังอาการอยู่นานกว่า 4 เดือนก็ควรจะไปพบแพทย์ค่ะ เพราะอาการเลือดออกกระปริบกระปรอย อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปากมดลูกก็เป็นได้ แต่โรคนี้สามารถวินิจฉัยได้โดยวิธี Pap Smear นอกจากนี้โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด เช่น โรคหนองใน ก็อาจมีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอยได้เช่นกัน
ประจำเดือนมามากกว่าเดือนละครั้ง ผิดปกติหรือไม่ผู้หญิงบางคนอาจมีประจำเดือน เดือนละ 2 ครั้งก็เป็นไปได้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความหงุดหงิด การงานที่รัดตัว ทำให้เกิดความเครียด ส่งผลให้ฮอร์โมนของร่างกายปั่นป่วน ทำให้มีเลือดออกในช่วงกลางรอบเดือน หรือช่วงที่ไข่ตก แต่ในบางรายก็อาจเกิดจากปัญหาเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ ซึ่งมักจะมีอาการปวดบริเวณเชิงกรานและหลังร่วมด้วย ซึ่งควรแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง
ประจำเดือนมามากและนานหลายวันโดยปกติแล้ว ผู้หญิงเราจะมีประจำเดือนนาน 7 วัน โดย2 วันแรกจะมีปริมาณค่อนข้างมาก แต่ถ้ามีประจำเดือนนานกว่า 8 วันและยังมีปริมาณมาก แม้จะเลย 2 วันแรกไปแล้ว ก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย เพราะอาจเกิดจากเนื้องอกในบริเวณมดลูก ซึ่งต้องรักษาโดยการผ่าตัด
ประจำเดือนมาน้อยมาก ผิดปกติหรือไม่ถ้าประจำเดือนมาสม่ำเสมอ แม้จะมีน้อย ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะแสดงว่าร่างกายมีการตกไข่ตามปกติ แต่ที่มีปริมาณน้อยนั้น มักพบในคนที่ใช้ยาคุมกำเนิด หรือผู้หญิงที่มีอายุมาก แต่หากมีปริมาณน้อยจนผิดปกติ โดยที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิด ก็อาจเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนได้เช่นกัน
ห้ามออกกำลังกายในขณะที่มีประจำเดือน จริงหรือไม่ประจำเดือนนั้น เกิดจากการลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก และจะมีอาการมดลูกบีบตัวรุนแรง จึงทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ในขณะที่ การออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายหายเครียด และช่วยแก้ปวดได้ทุกชนิด เรียกว่ามีสรรพคุณเทียบเท่ายาแก้ปวดขนานเอกกันทีเดียว จึงดูไม่มีเหตุผล ที่จะเป็นข้อห้ามไม่ให้ยืดเส้นยืดสายในช่วงวันนั้นของเดือนแต่อย่างใด
ทำไมจึงห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันนั้นของเดือนจริงๆ แล้วอาจจะไม่มีข้อห้าม แต่มีข้อควรระวัง เพราะในช่วงที่มีรอบเดือน เป็นช่วงที่ปากมดลูกเปิด เพื่อให้ประจำเดือนไหลออกมา และประจำเดือน ก็เป็นอาหารอันโอชะสำหรับเชื้อแบคทีเรีย จึงเป็นระยะที่เสี่ยงกับการติดเชื้อได้ง่าย ถ้าจะมีอารมณ์รักในช่วงนี้ ก็ควรระวังเรื่องของความสะอาด โดยให้เขาทำความสะอาดของรักของเขาเสียก่อน และควรหลั่งภายนอก เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง แต่จะให้ชัวร์ ๆ ก็ควรใช้ถุงยางอนามัย แค่นี้ก็มีความสุขกับวันนั้นของเดือนได้ และมั่นใจกับเรื่องความปลอดภัย
มีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันนั้นของเดือน จะท้องหรือเปล่าการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันนั้นของเดือน ส่วนใหญ่มักจะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์ ยกเว้นในผู้หญิงบางรายที่มีประจำเดือน เดือนละ 2 ครั้ง โดยจะมีเลือดออกในช่วงที่มีไข่ตก หรือในช่วงกลางรอบเดือน และเข้าใจผิดว่า นั่นคือประจำเดือน ที่เกิดจากการลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อมีเพศสัมพันธ์กันในวันนั้น ก็มีโอกาสท้องได้มากทีเดียว เพราะเป็นระยะที่มีการตกไข่ ถ้าจะให้มั่นใจจริง ๆ ก็ควรใช้ถุงยางอนามัย นอกจากไม่ต้องกังวลกับเรื่องท้องแล้ว ยังปลอดโรคอีกด้วยค่ะ

10 สัตว์โลกอันตราย

10 สัตว์โลกอันตราย
อันดับ10 ชื่อว่า Poison Dart Frog บนหลังของมันฉาบไปด้วยสารพิษที่น่ากลัวที่สุด ซึ่งเมื่อถึงเวลา มันจะพ่นพิษนี้ออกมาเพื่อให้ศัตรูหนีไปเชื่อไหมว่าในกบแต่ละตัวมีพิษมากพอที่จะฆ่าคนได้ 10 คนเชียวนะ

อันดับ 9 Cape Buffaloเมื่อเผชิญหน้าศัตรู เจ้าควายถ้ำ (แปลตรงตัวเลยแล้วกัน) จะพุ่งเข้าใส่ทันทีคิดดูสิ มันหนักไม่ต่ำกว่า 1500 ปอนด์ แถมเขาสองอันยังใหญ่มากมายขนาดนั้น
อันดับ 8 Polar Bearไม่อยากจะเชื่อเลย พี่ตินชอบหมีขาวมากๆ เลยนะ แต่ก็อย่างที่บอก แม้ภาพลักษณ์ภายนอกเจ้าหมีขาวจะดูน่ารักนักหนาแต่รู้ไหมว่าพวกมันกินแมวน้ำเป็นอาหารเช้าน่ะ
อันดับ 7 Elephantไม่น่าเชื่ออีกแล้ว แต่เค้าบอกว่าไม่ใช่ว่าช้างทุกตัวจะน่ารักเหมือนดัมโบ้นะในปีหนึ่งๆ ว่ากันว่าช่างทำร้ายและฆาตกรรมผู้คนไม่ต่ำกว่า 500 คนต่อปี
อันดับ 6 Australian Saltwater Crocodileว่า พี่ตินชอบจระเข้อะ เป็นคนชอบจระเข้มากจริงๆ นะ แต่ก็นะ รู้อยู่ว่ามันอันตรายมาก
อันดับ 5 African Lionสิงโต ไม่น่าแปลกใจใช่ไหม และพี่ตินก็ชอบสิงโตอีกแล้วมันอันตรายที่สุดเพราะว่าเขี้ยวแหลมคมมาก แล้วยังเคลื่อนไหวเร็วมากด้วยอุ้งเท้าก็แข็งแรง
อันดับ 4 Great White Sharkฉลามที่เราชอบกิน ไม่หรอกจ้า พี่ตินไม่เคยกินหูฉลามเลย เพราะสงสารมัน แอบเป็นพวกต่อต้านนิดหน่อยน่ะจ้า แม้จะถูกจับมากินหูตลอด แต่ฉลามนี่สุดยอดอันตรายแห่งท้องน้ำเลยนะ
อันดับ 3 Australian Box Jellyfishหือ? แมงกะพรุนอันตรายขนาดนั้นเลย พี่ตินไม่เคยโดนแมงกะพรุน เลยไม่รู้ว่าแสบร้อนแค่ไหน แต่เห็นเพื่อนโดนแล้วสงสารมาก ท่าทางจะปวดแสบปวดร้อนน่าดูเลย ในแมงกะพรุนออสเตรเลียนแต่ละตัวเนี่ย ว่ากันว่ามีเข็มพิษ 5000 เล่ม
อันดับ 2 Asian Cobraงู ว่าแล้วละว่าต้องติดเค้าบอกว่างูพันธุ์คอบร้านี่แหละน่ากลัวมาก จากสถิติ พวกมันฆ่าคนไปกว่า 50,000 คนต่อปีนะจะบอกให้
อันดับ 1 Mosquitoโอย พี่ตินทายยังไงก็ทายไม่ถูก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นยุง????? ทั้งที่ใครๆ ก็โดนยุงกัด โดยอยู่รอดมาได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยุงบางประเภทก็อันตรายไม่ว่าจะเป็นมาเลเรีย ไข้เลือดออก หรือเท้าช้าง แถมที่วัดสถิติมาแล้ว นี่ต่อปีมีคนตายเพราะยุงถึงสองล้านคนเชียวนะ!!!!

รู้จัก "วันนั้นของเดือน"

รู้จัก "วันนั้นของเดือน"ประจำเดือนเป็นสัญญาณเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือวัยที่สามารถมีลูกได้ รอบเดือนตามปกติจะกินเวลา 21-35 วัน (โดยเฉลี่ย 28 วัน) แต่ละครั้งใช้เวลา 2-8 วัน (ตามปกติ 4-6 วัน) รอบเดือนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย และขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเครียด อายุ น้ำหนักลดหรือเพิ่ม การมีบุตรผู้หญิงสมัยนี้มีประจำเดือนยาวนานกว่าผู้หญิงสมัยก่อน (400-500 ครั้งตลอดชีวิต) เนื่องจากเริ่มมีเร็วกว่า อายุยืนขึ้น และตั้งท้องน้อยลงคำถามที่ต้องการคำตอบการนับรอบประจำเดือนทำยังไง? ต้องนับวันแรกของการมีประจำเดือนหรือนับวันสุดท้าย? แล้วจำเป็นต้องมีประจำเดือนตรงกันทุกเดือนมั้ย?การที่ประจำเดือนมาตรงกันทุกเดือนเป็นเรื่องที่ดีด้วยเหตุผลหลายอย่าง ประการแรก สะดวกต่อการเตรียมผ้าอนามัยพกพาติดตัวไปด้วยเวลาประจำเดือนใกล้มา จะได้ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนให้เสียอารมณ์ และสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะจะได้ช่วยในการคำนวณเวลาไข่ตก (ซึ่งจะทำให้ตั้งครรภ์ได้ง่าย) และรู้ว่าเมื่อไหร่ประจำเดือนครั้งต่อไปจะมา ทางที่ดีลองทำเครื่องหมาย "วันนั้นของเดือน" ไว้บนปฎิทินกันลืมไว้ด้วยการนับรอบเดือนให้เริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งนี้ไปจนถึงวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งถัดไป จะกินเวลาอย่างเร็วก็ 25 วัน ส่วนอย่างช้าก็ 30 วัน รอบประจำเดือนนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งความเครียด น้ำหนักขึ้นลง แม้แต่การใช้ยาคุมกำเนิดส่วนระยะเวลาไข่ตกหมายถึงช่วงเวลาที่มดลูกจะผลิตไข่ออกมาทุกเดือน และมักเกิดขึ้นกลางรอบเดือน คนส่วนมากไม่รู้เวลาไข่ตกของตัวเอง เลยไม่นิยมการคุมกำเนิดแบบนับวันปลอดภัย ซึ่งวิธีนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อรู้กำหนดประจำเดือนที่แน่นอนจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?สัปดาห์ที่ 1 ในแต่ละเดือนต่อพิทูอินารี่ในสมองจะส่งสัญญาณไปยังรังไข่ให้ผลิตฮอร์โมน follicle stimulating hormone (FSH) และ luteinzing hormone (LH) ซึ่งกระตุ้นให้ไข่ตกอย่างน้อยหนึ่งใบ เพื่อเติบโตเป็นไข่สุกต่อไป เมื่อไข่สุก มันจะปล่อยฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมา ทำให้ผนังของมดลูกหนาขึ้นสัปดาห์ที่ 2 การตกไข่ - เมื่อไข่สุกเต็มที่จะถูกปล่อยออกมาจากช่องว่างในรังไข่ไปยังปลายท่อรังไข่ข้างหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายท่อ และเริ่มเคลื่อนตัวไปยังมดลูก โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวเมื่อไข่ตก แต่บางคนจะรู้สึกปวดท้องน้อยแปลบๆ ระยะนี้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะสูงขึ้น ทำให้เกิดของเหลวออกมาทางช่องคลอด ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนจะถูกปล่อยออกมา เพื่อช่วยหล่อเลี้ยงผนังมดลูกสัปดาห์ที่ 3 หลังไข่ตก - ระดับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนจะสูงขึ้น ของเหลวที่ปล่อยออกมาทางช่องคลอดจะข้นขึ้นและน้อยลง (เกือบไม่มี) เมื่อสเปิร์มผสมกับไข่ระหว่างเคลื่อนไปที่ท่อรังไข่การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้น จากนั้นผนังมดลูกจะเตรียมพร้อมรองรับและบำรุงไข่ที่ได้รับการผสมนั้น ถ้าไข่ไม่ได้รับการผสมจากสเปิร์ม มันจะสลายและไหลออกมาทางช่องคลอด (ปกติจะเกิดก่อนการมีประจำเดือน) และช่องว่างในรังไข่จะเริ่มผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจสเทอโรนน้อยลง ใช้เวลาประมาณ 12 วันสัปดาห์ที่ 4 (การเกิดประจำเดือน) เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง ผนังในมดลูกจะหยุดการหล่อเลี้ยงและลอกตัวออกมากลายเป็นประจำเดือนในที่สุด เมื่อเกิดประจำเดือนครั้งใหม่ วงจรทั้งหมดก็จะเริ่มต้นขึ้นทำไมต้องหงุดหงิด หรือสิวขึ้นมากทุกครั้งที่มีประจำเดือนเราเรียกอาการเหล่านี้ว่า "อาการก่อนมีประจำเดือน" ซึ่งมีมากมายหลายแบบ บางคนไม่เป็นอะไรเลย ขณะที่บางคนปวดท้อง บางคนรู้สึกระคายเคืองช่องคลอด การเกิดอาการเหล่านี้ไม่มีสาเหตุทางชีวภาพที่แน่นอนแต่ที่แน่ๆคือ ช่วงนี้ระดับฮอร์โมนจะลดลงต่ำสุด จำกัดการบริโภคเกลือ น้ำตาล คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ กินอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่เน้นผักและคาร์โบไฮเดรต อาการก่อนมีประจำเดือนนี้อาจเกิดต่อเนื่องในขณะมีประจำเดือนด้วยอาการก่อนมีประจำเดือน หดหู่ เครียด อารมณ์เสีย อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ วิตามินบีและแคลเซียมช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ บวม โซเดียมในเกลือทำให้เกิดน้ำขัง โดยเฉพาะที่ท้องและหน้าอก ทำให้บวมได้ อ่อนเพลียและปวดหัว พักผ่อนและกินยาบรรเทาปวดเพื่อลดอาการดังกล่าว เป็นสิว ใช้วิธีการรักษาสิวตามปกติ เจ็บหน้าอก หน้าอกจะเต่งขึ้นและรู้สึกเจ็บ (คัดหน้าอก) ปวดหัว ปวดหลัง - โพรสทาแกลนดีส (เป็นชื่อของสารชนิดหนึ่งในร่างกายซึ่งคล้ายฮอร์โมน) คือ ต้นเหตุที่ทำให้ปวดท้องขณะมีประจำเดือน (เป็นสารชนิดเดียวกับที่ทำให้ผู้หญิงเราเกิดอาการปวดท้องตอนจะคลอดลูกด้วย) สารนี้จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัว เพื่อช่วยให้ร่างกายขับประจำเดือนออกมา การหดตัวนี้มีตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรง บางครั้งอาจปวดเลยไปถึงบริเวณหลัง เป็นสาเหตุให้ปวดหลังด้วย ความเครียดจะกระตุ้นให้เกิดการผลิตสารโพรสทาแกลนดีสได้ ดังนั้นจึงควรออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินออกมา เป็นการระงับการปวดตามธรรมชาติ ทำใจให้สบาย และหายใจลึกๆยังมีวิธีธรรมชาติอื่นๆที่ช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือน แต่ได้ผลเฉพาะบางคนเท่านั้น คือ จิบชาสมุนไพรร้อนๆ กินวิตามินซี แคลเซียม และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส การอาบน้ำอุ่นหรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางบริเวณท้องน้อยก็ช่วยลดอาการปวดได้เช่นกันเวลาเกิดอาการต่างๆก่อนมีประจำเดือน ต้องรู้จักดูแลตัวเอง ลองใช้วิธีรักษาหลายๆวิธี สังเกตดูว่าวิธีไหนใช้ได้ผล ถ้าหลังมีประจำเดือนแล้วอาการต่างๆยังไม่ทุเลาลง แต่กลับเป็นหนักขึ้น ก็ควรปรึกษาแพทย์ค่ะ

หนาวนี้มาดูแลผิวกันนะค่ะ

หนาวนี้มาดูแลผิวกันนะค่ะ
ผิวหน้าหนาวจะแห้งกร้านง่ายกว่าหน้าไหน ๆ ไม่ใช้เพราะขาดน้ำมัน แต่ขาดน้ำต่างหาก มารู้จักดูแลรักษาผิวหน้าหนาวกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า

1. ไนท์ครีมเลือกปรนนิบัติผิวก่อน 4 ทุ่ม เพราะช่วงเวลาระหว่าง 3 ถึง 4 ทุ่ม เซลผิวจะทำงานซ่อมแซมตัวมันเอง แถมยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ทาครีมแก้สิวในตอนกลางคืน เพราะอุณหภูมิในตัวคุณจะสูงขึ้นราว 1-2 องศา ซึ่งจะทำให้รูขุมขนเปิดกว้างขึ้น และทำให้เนื้อครีมที่คุณลูบไล้ลงบนผิวก่อนนอนซึมซาบได้ดีขึ้น เพื่อช่วยให้เนื้อครีมซึมซาบได้ดีขึ้น ให้ใช้น้ำอุ่นปะพรมบนใบหน้าก่อน หรือทำให้ครีมบำรุงอุ่นขึ้นด้วยการถูฝามือหลังป้ายเนื้อครีมแล้ว จากนั้นจึงค่อยลูบไล้ให้ทั่วผิวหน้า
2. ขัดหน้าต้องทำบ่อยแค่ไหน?แนะนำว่าถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งและขัดผิวกาย เดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าสาวไหนที่มีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนที่เป็น อาจจะทำทุกวันเลยก็ได้วิธี : ใช้ฟองน้ำสำหรับขัดหน้าหรือเจลสำหรับขัดผิวหน้าสูตรอ่อนโยนพิเศษ ล้างหน้าให้เปียก แล้วขัดให้ทั่วใบหน้า 1-2 นาที อย่างเบามือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด (ปรึกษาพนักงานเคาน์เตอร์เพื่อให้ได้เจลขัดผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณในหน้าหนาว)
3. สูตรหน้านิ่มสำหรับสาว ๆ ที่ชอบทำมาสก์เองด้วยผลิตผลจากธรรมชาติ หน้าหนาวอย่างนี้แนะนำให้ใช้ นมสด 1/2 ช้อนชา, น้ำผึ้งแท้ 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมาทาใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
4. ชโลมครีมบำรุงผิวหลังจากอาบน้าเสร็จ เช็ดตัวแบบลวก ๆ พอ เอาให้ผิวเปียกหมาด ๆ ไม่แห้งสนิท แล้วทาครีมเลย วิธีนี้จะทำให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ช่วยเก็บกักน้ำให้ผิวได้อีกเท่าตัว
5. เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาวล้างหน้าด้วยน้ำเย็นดีกว่าน้ำอุ่น เพราะยิ่งใช้น้ำอุ่นหน้าก็จะยิ่งแห้งมากขึ้น cละคันมากขึ้นค่ะ
6. ใช้สบู่อ่อน ๆโยนสบู่ที่มีสารเคมีรุนแรง อย่างพวกที่ให้ฟองเยอะๆ ทิ้งลงขยะไปเลย หันมาใช้เจลอาบน้ำถนอมผิวที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์แทนจะดีกว่าเลือกพวกที่มีส่วนประกอบสำคัญ อย่าง คาร์โมมายล์ยูคาลิปตัส
7. กันแดดหน้าหนาว แดดจะแรงขึ้นอีก ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมทาครีมกันแดดด้วย เลือกครีมกันแดดSPF 15-20 พร้อมมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้นจะดีมากอย่าง ว่านหางจระเข้ สมุนไพรต่าง ๆ จะช่วยป้องกันผิวเป็น 2 เท่า
8. ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวจะช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ช่วยให้ร่างกายฟอกเลือดได้เร็วขึ้น กำจัดของเสียภายในร่างกายไปในตัว ซึ่งจะทำให้ผิวสดใสน่ามอง
9. ขัดผิวแบบนิ่มนวลช่วงอากาศหนาว ๆ อย่าใช้ผ้าเปียก, ฟองน้ำเนื้อหยาบ หรือเจลที่มีเนื้อทรายมาขัดผิวเด็ดขาด
10. ถนอมเรียวมือพกครีมทามือติดตัวไว้ด้วย จะได้เอามาทาหลังจากทุกครั้งที่ฟอกสบู่ล้างมือ ยิ่งเรียนหนังสือต้องจับหนังสือ กระดาษสมุดจด จะยิ่งทำให้มือแห้งขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นเก็บโลชั่นไว้ใต้โต๊ะในห้องเรียน จะดีมาก ๆ
11. ทานให้ผิวสวยทานผลอโวคาโดอาทิตย์ละครั้ง กรดไขมันของผลอโวคาโดจะช่วยให้ผิวสวย
12. ปากชุ่มชื้นพกลิปมันติดตัว เลือกที่มีส่วนผสมที่มี SPF 15 ด้วยคนที่ริมฝีปากแห้งแตกมาก ๆ ให้เลือกใช้ลิปมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันทีทรี Tip : สำหรับลิปมันที่มาในรูปกระปุก ให้ใช้แปรงทาปากจุ่มเนื้อลิปขึ้นมา อย่าใช้นิ้วมือที่จะไปทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค
13. แปรงเท้าใช่แล้ว... แปรงเท้า ซึ่งก็เหมือนกับเอาแปรงมาแปรงตัวยังไงยังงั้นเลย แปรงตอนที่ผิวยังแห้งอยู่ จะช่วยขจัดขี้ไคล ผสมน้ำมันทีทรีเข้าไป ช่วยขจัดแบคทีเรียได้อีกด้วย
14. กันผมไฟฟ้าสถิตย์ผมบินได้เหรอ แล้วดึงแปร๊บ ๆ อีกด้วย ไม่ยากเลยแค่สะกิดมอยร์เจอร์ไรเซอร์ที่ทาตัวของเรานี่แหละถูกับฝ่ามือ ไปตามปลายผม ถ้าเป็นมาก ก็ลูบช่วงกลาง เส้นผมด้วย
15. ทาครีมหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ให้เน้นทาครีมตรงบริเวณช่วงขาทั้งหมด เพราะเป็นส่วนที่ผิวแห้งได้ง่ายมาก เผื่อสวมใส่กระโปรงหรือกางเกงสั้น ๆ ที่กำลังฮิต ๆ ตอนนี้ จะได้ไม่เห็นหนังงูอันน่าเกลียดน่ากลัวเคล็ดลับหน้าใส
1. น้ำผึ้ง
2. น้ำมะนาวสด
3. แตงกวาฝานบาง ๆ
นำน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาวสด 1/2 ช้อนชา นำแตงกวาที่ฝานบาง ๆ มาวางทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แตงกวาจะช่วยดูดขับสิ่งตกค้างบนใบหน้าช่วยให้หน้าสดชื่น น้ำผึ้งจะช่วยลดการระคายเคืองผิว และช่วยทำให้ใบหน้าเนียนนุ่ม น้ำมะนาว ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ ทำให้ใบหน้าดูกระจ่างใส

ลองทำดูนะ
ครีมหวาน

วิธีทำให้สดใสหลังตื่นนอน

วิธีทำให้สดใสหลังตื่นนอน
หลังจากที่ตื่นนอน บางครั้งอาจจะเกิดอาการอ่อนเพลีย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีทำให้สดชื่นหลังตื่นนอนมากฝากกัน...

- เริ่มต้นด้วยการเดินไปหยิบน้ำมาดื่มสักแก้วใหญ่ ให้ชื่นใจ การดื่มน้ำนั้นเป็นการเติมน้ำให้กับร่างกาย หลังจากร่างกายของเราพักผ่อนมาทั้งคืน ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น
- ใช้เวลาสัก 5-10 นาที ออกกำลังกายยืดเส้นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย วิธีการนี้จะเหมือนกับการบิดขี้เกียจตอนเช้า เน้นการยืดในส่วนที่ต้องใช้บ่อย ๆ ในการทำงาน เช่น ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานทั้งวันนั้น เป็นไปได้ว่าต้องเน้นการออกกำลังที่ส่วน กล้ามเนื้อบริเวณคอ หัวไหล่ แขน และฝ่ามือ
- การรับประทานธัญพืช และอาหารที่มีโปรตีนบ้างในมื้อเช้า ลดอาหารจำพวกแป้ง การรับประทานอาหารในช่วงเช้านั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการเตรียมพร้อมให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน
- การเปลี่ยนเครื่องดื่ม เลิกดื่มกาแฟแล้วหันมาดื่มชาขิง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

ลองทำดูนะคะ

ประจำเดือนมาไม่ปกติ

ประจำเดือนมาไม่ปกติ
เนื้อหาโดย พญ. ฐิติมา สุนทรสัจ ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหากับ ประจำเดือนอย่างน้อยๆ ก็อาการไม่สบายตัว ก่อนที่คุณจะคิดว่าการมีรอบเดือนของคุณนั้นไม่ปกติ ควรทำความเข้าใจกับรอบเดือนปกติเสียก่อนว่าเป็นฉันใด...

ประจำเดือนปกติ
ประจำเดือน คือเลือดที่ออกจากโพรงมดลูกเป็นรอบๆ ห่างกันทุก 28 วัน ผิดพลาดได้ไม่เกินบวกลบ 7 วัน หมายความว่า บางเดือน หรือ ของ บางคน รอบของประจำเดือนอาจจะเป็น 21 วัน 22 วัน หรือ30 วัน 35 วันก็ได้ ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระยะเวลาที่มีเลือดประมาณ 2-7 วัน โดยปริมาณเลือดที่ไหลออกมาทั้งหมด ราวๆ 20-60 ซีซี ต่อรอบ
เด็กสาวที่เริ่มมีประจำเดือนใหม่ๆ ในช่วง 1-2 ปีแรก จะมีประจำเดือน ไม่สม่ำเสมอ รอบมักจะยาว บางคน 2-3 เดือนจึงจะมาสักครั้ง เนื่องจาก การทำงานของรังไขยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือน จึงมาห่างๆ และมักจะมามากนานหลายวัน หลังจากนั้น เมื่อเข้าที่เข้าทาง ก็จะมีรอบเดือนสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะมีการตกไข่ ทุกเดือน
ปัจจัยที่ทำให้มีประจำเดือนเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติ สิ่งแวดล้อม แสงสว่าง ความอ้วน ผอมของร่างกาย สุขภาพทั่วไป สภาวะ ทางจิตใจ และเชื่อหรือไม่ คนที่อาศัยอยู่ในเมือง หรือประเทศใกล้เส้น ศูนย์สูตร พื้นที่ระดับน้ำทะเล เช่น กรุงเทพมหานคร จะมีประจำเดือน เร็วกว่า พวกที่อยู่ในชนบทไกลจากเส้นศูนย์สูตร หรืออยู่บนยอดเขา เช่น ธิเบต เป็นต้น ที่น่าแปลกก็คือมีการศึกษาพบว่า เด็กที่ตาบอดกลับมีประจำเดือนเร็วกว่าเด็กปกติ แสดงว่า แสงสว่างน่าจะมีผลต่อการ มีประจำเดือนด้วยสาเหตุที่ประจำเดือนมาไม่ปกปกติความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมนเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือประจำเดือนออกมากมักเกิดจากการตกไข่ไม่สม่ำเสมอ เรียกว่าภาวะประจำเดือน ออกผิด ปกติ (Dysfunctional uterine bleeding หรือ DUB) สาเหตุของภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล
• การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น หรือวัยใกล้ หมดประจำเดือน
• โรคเบาหวาน, ความผิดปกติของต่อมธัยรอยด์ ;หรือต่อมใต้ สมอง(Pituitary) หรือความผิดปกติอื่นๆ
• อ้วนมากเกินไป • ภาวะเครียด
• การออกกำลังกายหนักเกินไป
• ความผิดปกติของการทานอาหารบางอย่าง เช่น โรคเบื่ออาหาร (Anorexia nerversa) เนื้องอกของมดลูก : ส่วนใหญ่แล้วเนื้องอกประเภทนี้มักเป็นเพียงเนื้องอกธรรมดา ไม่ค่อยมี เนื้อร้ายซึ่งนอกจากทำให้มีเลือดออก ผิดปกติแล้ว ยังอาจ ทำให้รู้สึก ปวดหรือถ่วงในท้องน้อยได้ด้วยสาเหตุอื่นที่พบไม่บ่อยเช่น
• การตั้งครรภ์นอกมดลูก
• ผลจากยาบางอย่าง เช่น ยาประเภทฮอร์โมน หรือยาคุมกำเนิด
• มีโรคที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
• การติดเชื้อ หรือมะเร็งของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
• ปัญหาจากการใส่ห่วงอนามัย •
เยื่อบุช่องคลอดที่บางและเกิดแผลอักเสบง่าย

คนเกิดวันที่ 29-รักใครไม่ผันแปร

คนเกิดวันที่ 29-รักใครไม่ผันแปร

คนเกิดวันที่ 29 มีโชคเบื้องต้นหรือจะเรียกว่าพรสวรรค์ก็ตามใจ อยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการประดิษฐ์ อันเป็นการทำให้ความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์คิดค้นหลายคนเกิดในวันนี้ คนเกิดวันที่ 29 ส่วนใหญ่จะมีความสุขมาก ถ้าได้ทำงานในด้านการประดิษฐ์คิดค้น การทดลองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเขาหรือเธอ มักจะประสบความสำเร็จ ในด้านนี้อย่างรุ่งโรจน์
โดยเหตุที่พื้นนิสัยเป็นเช่นนี้ คนที่เกิดวันนี้จึงมีเพื่อนหรือคนรัก ที่มีความเข้าใจไม่ปล่อยให้เขาหรือเธอ จมอยู่กับเครื่องมือทดลองวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือในห้องคอมพิวเตอร์ แต่ควรจะต้องพาเขาหรือเธอ ออกไปสู่สังคม รู้จักโลกที่แท้จริง รู้จักชื่นชมกับความสุข และความงามของมนุษย์ ของธรรมชาติ ของภาษากวี ดนตรี และศิลปะ เรื่องอย่างนี้บางทีพ่อแม่ต้องทำตั้งแต่วัยเด็กด้วยซ้ำ แทนที่จะดีใจว่าลูกของท่านอันเกิดวันที่ 29 เป็นคนขยันเรียนอย่างเดียว
ความทุกข์ของคนเกิดวันที่ 29 จะเกิดขึ้นในเมื่อเขาหรือเธอ ต้องทำงานที่ตัวเขาหรือเธอผู้นั้นไม่ชอบใจทำ หรือต้องเรียนรู้หรือทำความเข้าใจในเรื่องที่เขาไม่สนใจ เขาจะเบื่อเรื่องดังกล่าวเหล่านั้นง่าย ๆ คนเกิดวันที่ 29 เบื่อง่าย ถ้าไม่ได้งานที่ชอบก็จะเบื่อทันที
อันที่จริงแล้ว คนเกิดวันที่ 29 เป็นคนมีเสน่ห์ และน่ารักกับคนที่เขาหรือเธอพอใจ เป็นคนที่เรียกได้ว่ารักเดียวใจเดียว เมื่อได้พอใจหรือรักใครแล้วก็จะไม่ผันแปรไปได้ มีความรับผิดชอบต่อคนรักและครอบครัวดี แต่ใครก็ตาม ที่เป็นคนรักกับคนที่เกิดวันนี้ ก็จะต้องพบข้อยุ่งยากบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อยุ่งยาก อันเกิดจากความเก่งแต่ประสบการณ์ดิ่งลึก มากกว่ากว้าง ของเขาหรือเธอผู้นั้น ทำให้เขาหรือเธอเป็นคนมองโลกอย่างไม่เข้าใจ บางทีถึงกับกลายเป็นคนหลงตัวเอง หรือหลงกลุ่มไปได้ เช่นหลงผิดไปว่ากลุ่มของตนเท่านั้น ที่มีความชำนาญในสาขาวิชาชีพนี้เป็นเลิศ หรือเป็นพวกที่ชอบมองว่าคนต่างกลุ่ม มีเกียรติน้อยกว่าตน
บางทีเผลอ ๆ ยังแอบดูถูกภรรยาสามี และญาติของภริยาสามีว่าโง่กว่าตนก็มี
และที่สำคัญคนเกิดวันที่ 29 เป็นคนที่แม้แต่คนใกล้ชิดที่สุด ก็ยากที่จะหยั่งรู้ความรู้สึกจริง ๆ ของเขาหรือเธอได้ เป็นพวกที่ชอบมีชีวิตลึกลับชวนให้คนพิศวง และเขาหรือเธอผู้เกิดวันที่ 29 จะรู้สึกอึดอัดใจมาก ถ้ามีคนรู้เกี่ยวกับตัวเขาหรือเธอ มากกว่าที่ต้องการให้รู


บุคคลที่เกิดวันที่ 29
ท่านจะมีเสน่ห์จากการพูดคุย มีความคิดสร้างสรรค์จะอยู่กับความฝันและจินตนาการจะเป็นที่ปรึกษาที่ดี ท่านจะมีความสุขอยู่กับผลงานตัวเองที่สร้างมา ชอบสะสมของ ชอบธรรมชาติ และจะมีเพื่อนฝูงมาก มีปัญหาข้อควรระวังของบุคคลที่เกิดวันที่ 29 ก็คือ ท่านจะมองอะไรเกินความเป็นจริงไปหน่อย จนบางครั้งก็ใจอ่อน ทำอะไรเกินเลย จนเกิดเป็นปัญหาตามมาทั้งๆ ที่บางครั้งเรื่องไม่เป็นเรื่องหรือไม่ใช่เรื่องของท่านเลย แล้วท่านก็จะมานั่งเศร้าแบบทุกข์อยู่คนเดียว ความรักก็จะไม่วายมีแต่เรื่องหึงหวงบ่อยครั้ง เพราะความที่ท่านมีจินตนาการเพ้อฝัน และความมีเสน่ห์ของท่านนั้นแหละต้นเหตุ ระวังเรื่องสุขภาพไว้บ้าง เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย อาจจะมีปัญหาอยู่เนือง ๆ

วันเกิดน้องสาวเราครีมเอง 29 ก.พ. เท่ห์ไหม??

เคล็ดลับลดน้ำหนักให้ถูกวิธี อยู่ที่เลือกอาหาร โภชนาการ

เคล็ดลับลดน้ำหนักให้ถูกวิธี อยู่ที่เลือกอาหาร โภชนาการ
“ต้องลดน้ำหนักให้ได้” นี่อาจเป็นหนึ่งในรายการที่ใครหลายคน กำลังคิดว่าจะต้องทำให้ได้ในปีใหม่นี้

ก็นับว่าดีอยู่หรอกค่ะที่มีความหวังความตั้งใจในปีใหม่ที่จะทำ เรื่องดีๆ แต่ขอบอกเสียก่อนว่าจะลดน้ำหนักทั้งทีก็ต้องลดให้ถูกวิธี ด้วยการเลือกกินอาหารให้ถูกถ้วนตามหลักโภชนาการดีกว่าจะได้ ไม่เสียใจ เสียสุขภาพในภายหลัง
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเตือนว่า คนที่อยากลดน้ำหนักนั้นไม่จำเป็นต้องงดกินอาหารอย่างขาดสติ แต่วิธีที่ถูกที่ควรนั้นอยู่ที่การเลือกกินอาหารง่ายๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนักให้ได้ตามเป้าหมาย
กลอเรีย ซาง ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กล่าวว่า ผู้หญิงมักจะตกเป็นเหยื่อมากที่สุดในการเลือกกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ทุกวันนี้เราอาจจะยุ่งเกินกว่าที่จะเลือกกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อ สุขภาพ แต่ที่จริงแล้วก็มีหลักง่ายๆ ในการเลือกกินอาหารเพื่อลดน้ำหนักให้ถูกวิธีได้ นั่นคือ
หลีกเลี่ยงการกินเนื้อที่ผ่านกรรมวิธี ไม่ควรงดอาหารเช้า และควรหลีกเลี่ยงการกิน ข้าวหรือขนมปังขัดขาวที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่าเมื่องดหรือหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น แล้ว ก็ควรจะกินอาหารจำพวกผักที่มีสีสันสดใส จำนวนมากๆ หน่อย เพราะในผักมีใยอาหารมากและมีแคลอรีต่ำ และถ้าอยากกินของหวานก็ควรเลือกของขบเคี้ยวที่เป็นผลไม้สดหรือผลไม้แห้งก็ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารยังแนะนำด้วยว่า ควรจะกินป๊อปคอร์น เพราะว่าเป็นอาหารที่มีกากใยและสารต้านอนุมูลอิสระ และแทบจะไม่ให้พลังงานซักกี่แคลอรีเลย แต่ถ้าจะกินป๊อปคอร์นจริงๆ กลอเรีย ซาง ย้ำว่า ต้องเลือกอย่างที่ไม่อบเนย จึงจะดีและมีประโยชน์จริง

บุคคลที่เกิดวันที่ 24

บุคคลที่เกิดวันที่ 24
คุณเป็นคนที่มีคุณธรรมสูง มีน้ำใจดี ชอบและพร้อมจะช่วยเหลือคน และสังคมทั่วไป สุภาพอ่อนโยน คุณมีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจคนรอบข้าง อารมณ์ดีแจ่มใส เสมอต้นเสมอปลาย คุณมักจะพ่ายแพ้กับความไม่ซื่อตรงของคนรอบข้างจะเสียเปรียบกับเพื่อนฝูง เพราะคุณจะยอม เหนื่อ?แทนคนอื่นเสมอปัญหาจะเกิดก็จากเพื่อนและคนรอบข้าง จะนำความเดือดร้อนมาให้คุณ ในด้านความรัก คุณเป็นคนที่สนใจ เอาใจคนรักดีเป็นเลิศ เสมอต้นเสมอปลาย เป็นห่วงเป็นใย ใครมีคุณเป็นคู่หรือใครมีคนรักที่เกิดวันนี้ รับรองไม่ผิดหวัง คุณจะเป็นคนที่พบรักง่ายตั้งแต่วัยรุ่น ก็เพราะเหตุนี้ คนเกิดวันนี้จะโชคดีกว่าคนวันอื่นตรงที่ว่าไม่อาภัพเรื่องคู่ ถึงเลิกรากับคนเก่า ก็เป็นเพื่อนที่ดีกันได้แถมยังมีคนใหม่รอคิวต่ออีกต่างหากนะซิ


คนเกิดวันที่ 24-มีน้ำใจไมตรี
ถ้าท่านมีเพื่อนเกิดวันที่ 24 ก็นับว่าท่านมีโชค และถ้าตัวท่านเองเกิดวันที่ 24 ตัวท่านก็นับได้ว่าเป็นผู้ "มีบุญ" มาแต่กำเนิดคนหนึ่งเหมือนกัน

ลักษณะเด่นของคนเกิดวันที่ 24 ในด้านนิสัยใจคอก็คือความมีน้ำใจพร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อน หรือแม้แต่คนอื่นที่มิใช่เพื่อน หากตกอยู่ในภาวะที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือแล้ว
คนเกิดวันที่ 24 จะให้ความช่วยเหลือทันทีด้วยไมตรีจิต และไม่สนใจการตอบแทน
คนเกิดวันที่ 24 เป็นเพื่อนที่ดี เมื่อท่านมีความทุกข์ คนแรก ๆ ที่จะมาให้ท่านเห็นคือ
คนเกิดวันที่ 24 และเมื่อท่านมีความสุขเพื่อน
คนที่เกิดวันที่ 24 ก็จะมาถึงก่อนด้วย
คนเกิดวันที่ 24 จะเป็นเพื่อนที่นำสิ่งที่มีประโยชน์ ชักชวนให้ทำสิ่งที่ดีงาม และนำความสุขสมบูรณ์มาให้ท่านเสมอ
คนเกิดวันที่ 24 เป็นคนมีเสน่ห์ช่างรู้ใจ ถ้าท่านมีคนรักเป็น
คนเกิดวันที่ 24 จะรู้ซึ้งถึงเสน่ห์ของคนเกิดวันนี้ว่า เป็นคนช่างรู้ใจ และเป็นคนช่างเอาอกเอาใจเสียจนท่านรู้สึกได้ว่าท่านห่างเขา (หรือเธอ) ได้ยาก หรือขาดเขาไปแล้ว ท่านมีความสุขเหลืออยู่น้อยมาก โดยเหตุนี้ใครที่รู้จักมักคุ้นจึงทั้งรักทั้งหลงคนเกิดวันที่ 24
ลักษณะนิสัยที่ดีเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งของคนเกิดวันนี้ก็คือ ความเป็นคนรับผิดชอบสูงทั้งการงานและครอบครัว โดยเฉพาะในเรื่องครอบครัวแล้ว
คนเกิดวันที่ 24 ถือว่าครอบครัวเป็นชีวิตจิตใจของเขา (หรือเธอ) เลยทีเดียว การมี "คู่สร้าง-คู่สม" ที่รักและรับผิดชอบครอบครัว นับเป็นโชคอย่างวิเศษ
และถ้าท่านมีคนรักเกิดวันที่ 24 ท่านก็มีโชคอย่างวิเศษไปด้วยเสน่ห์ประการหนึ่งของคนเกิดวันที่ 24 คือเสน่ห์ในการสนทนา หรือที่เรียกกันว่า เสน่ห์น้ำคำ
คนเกิดวันที่ 24 เป็นนักฟังที่ดีและเห็นอกเห็นใจผู้พูดที่พูดไม่เก่ง หรือเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยปัญหา จับใจความเก่ง จับความคิดของผู้พูดได้ไว และเมื่อถึงเวลาพูด
คนเกิดวันที่ 24 ก็พูดได้ เพราะฉลาด สามารถเจรจาชักจูงใจ หรือให้ทัศนะที่เป็นประโยชน์หรือสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ๆจุดอ่อนของ
คนเกิดวันที่ 24 อยู่ที่ความรักเพื่อนและกลัวว่าตนจะเป็นภาระ ทำให้เพื่อนเดือนร้อนนี่เอง จึงทำให้คนเกิดวันนี้เป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกในใจออกมา และยากที่จะปริปากบอกใครถึงความรู้สึกของตนเอง ดังนั้น คนที่ทำงานด้วยหรืออยู่ร่วมกันอยู่ใกล้ชิดควรต้องระวังตัวไว้ เพราะหากอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ทำอะไรร่วมกันอยู่เพลิน ๆ
คนเกิดวันที่ 24 ซึ่งเป็นเพื่อนของท่านอาจฟุบไปเฉย ๆ ก็ได้ เพราะอ่อนเพลียแต่ไม่ยอมบอกใคร และเพราะความที่ชอบเก็บความรู้สึกนี่เอง ที่หากประสบปัญหาบ่อย ๆ เข้าอาจกลายเป็นโรคประสาทได้

เราเองแหละ วันเกิดวันที่ 24 วันทีอื่นเอาลงได้ไม่หมดอ่ะ???

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

มาคลายเครียดตามเดือนเกิดกันเถอะ ลองดูนะ

มาคลายเครียดตามเดือนเกิดกันเถอะ ลองดูนะ

ถ้ารู้สึกปวดหัวเล็ก ๆ อาจเป็นเพราะความเครียดมาเยี่ยมอย่างไม่รู้ตัว หากลองมาแล้วทุกวิธีก็ยังไม่หายเซ็ง ลองอ่านดูนะ
มกราคม
คุณเป็นคนที่เห็นทุกสิ่งในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง ทำให้ความเครียดสะสมมากไปหน่อย เอาเป็นว่า... เจียดเวลา Relax ด้วยการเล่นกีฬาโปรดดูบ้าง หรือถ้าไม่ว่างจริงๆ การอาบน้ำด้วยครีมสมุนไพรก็พอจะช่วยให้เธอผ่อนคลายได้เหมือนกันจ๊ะ
กุมภาพันธ์
คุณเป็นคนที่เครียดได้ง่ายมากๆ ถึงเธอจะไม่โวยวาย แต่ก็เก็บความโกรธไว้ การผ่อนคลายที่เหมาะกับเธอคือ การได้อยู่คนเดียวเงียบๆ หรือทำกิจกรรมส่วนตัว หรือไม่ก็เล่น Internet ท่องโลกกว้าง
มีนาคม
คุณเป็นคนที่อ่อนไหว และชอบยกหัวใจให้อยุ่ในกำมือของคนอื่น การคาดหวังมากเกินไปอาจทำให้เสียจิต คิดแล้วก็เครียด การผ่อนคลายของคุณ ควรเป็นการเล่นดนตรี หรือไม่ก็วาดภาพ แต่ถ้ามีเวลาสั้นๆ ก้อแค่เอาตัวลงไปจุ่มในน้ำเย็น ๆ แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว
เมษายน
คุณเป็นคนที่มีสมาธิในการทำงานมาก จนบางครั้งลืมขยับเขยื้อนร่างกาย ทำให้อาการเมื่อยเข้าครอบงำ วิธีผ่อนคลายคือ การได้ออกแรงมากๆ กับกีฬาผาดโผน หรือไปเล่นเครื่องเล่นเสี่ยงตายในสวนสนุก มันจะทำให้สมองของคุณโล่งขึ้นค่ะ
พฤษภาคม
คุณเป็นคนที่มีสารเครียดอยู่ในร่างกายพอสมควร รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง หัวใจที่เพิ่มไม่ได้ทำให้เป็นคนหลายใจ แต่ทำให้คุณเข้ากับคนอื่นได้มากขึ้น วิธีผ่อนคลายของคุณคือ การได้เดินดูของสวยๆงามๆ ก็ทำให้รีแลกซ์แล้วค่ะ
มิถุนายน
คุณเป็นคนชอบพบปะผู้คน ดังนั้นถ้าเธอรู้สึกเครียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร meeting กับเพื่อนน่าจะเป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีที่สุดของคุณ หรือไม่ก็ window shopping เดินดูของสวย ๆ งาม ๆ ค่ะ
กรกฎาคม
สิ่งที่ทำให้คุณเครียดที่สุดก็คือ เรื่องการเดินทาง หรือต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เพราะคุณเป็นคนเหนื่อยง่าย แถมถ้าเหนื่อยใจยิ่งแย่ไหญ่ การผ่อนคลายของคุณน่าจะเป็นการได้เล่นกับสัตว์เลี้ยง ปลูกต้นไม้ หรือไม่ก็หลับยาวไปเลยก็ได้นะ เลือกเอาค่ะ
สิงหาคม
เรื่องที่ทำให้คุณเครียดมากที่สุดก็คือ ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลว เพราะคุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ชอบแพ้ใครแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ วิธีผ่อนคลายของคุณคือการได้ดูหนัง ฟังเพลง ช้อป ดื่ม กิน เที่ยว ของใช้ทุกอย่างต้องดูดีมีระดับ แค่นั้นมันก้อทำให้เธอหายเครียดไปเยอะแล้ว
กันยายน
การได้นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับคนรัก มันก็เป็นการผ่อนคลายที่มีความสุขของคุณแล้วล่ะค่ะ อิ อิ อิ
ตุลาคม
สิ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ ก็คือความเหงา อ้างว้างเดียวดาย แค่ได้วุ่นวายกับเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผม แบบโน้นแบบนี้ ก็เป็นการผ่อนคลายสำหรับคุณแล้วค่ะ
พฤศจิกายน
คุณเป็นคนที่เกิดอาการเครียดได้บ่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องความรักจะหนักที่สุด การผ่อนคลายของคุณ น่าจะเป็นการอ่านหนังสือนิยายรัก กุ๊กกิ๊ก ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ
ธันวาคม
สิ่งที่ทำให้คุณเครียดก็คือ การที่ต้องทนอยู่กันอะไรนานๆ เพราะคุณเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ออกแนวไฮเปอร์หน่อยๆ การผ่อนคลายของคุณคือการได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ไม่งั้นก็อ่านหนังสือแบบไม่จำกัดแนว ก็ช่วยให้สมองเธอปลอดโปร่งได้นะ

นม นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง ความเหมือนที่แตกต่าง

นม นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง ความเหมือนที่แตกต่าง

คนเกือบทุกคน คงได้เคยกินนมทั้ง 3 แบบนี้มาแล้ว แต่คงมีคนส่วนหนึ่งที่รู้ความแตกต่างของทั้ง 3
เราจะมาดูความแตกต่างที่ทำให้บางคนสับสนในการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 ตัวนี้กัน

นม
โดยทั่วไปแล้ว คำว่านม เราหมายถึง ของเหลวสีขาวที่สร้าง/หลั่งจากต่อมน้ำนม ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับทารกแรกเกิด ก่อนที่ทารกนั้น จะสามารถกินอาหารอื่นๆได้ตามปกติ

สำหรับคนเรา นอกเหนือจากนมมารดาที่กินกันตั้งแต่เด็กๆ คนเรายังนิยมกินนมจากสัตว์ชนิดอื่นๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอีกด้วย นมที่นิยมกินกัน เช่น นมวัว, แพะ, แกะ, อูฐ แต่ที่นิยมกินกันมากที่สุดในโลกก็คือ นมวัว ดังนั้นในหัวข้อนี้ผมจึงขอพูดถึงนมวัวเป็นหลักตามกระแสบริโภคของคนส่วนใหญ่

สารอาหารที่สำคัญในนมวัวได้แก่ โปรทีน, วิทามิน, ไขมัน แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ แคลเซียม ที่จัดได้ว่าเป้นหัวใจหลักของการกินนมเลยทีเดียว

เนื่องจากการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดการสร้างกระดูกที่ไม่แข็งแรง นำไปสู่การเกิดโรคกระดูกพรุน ในปัจจุบัน เราจึงแนะนำว่าควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1000 mg ซึ่งโดยทั่วไปในนม 1 mL จะมีแคลเซียมประมาณ 1 mg ดังนั้นถ้าเรากินนม 1 แก้ว (250 mL) ก็จะได้แคลเซียมประมาณ 250 mg หรือ 25 % ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับใน 1 วัน (ส่วนที่เหลืออีก 75% เราอาจจะเลือกกินนมอีก 2-3 กล่อง หรือจะได้รับจากอาหารอื่นๆอีกมากมายก็ได้)

ข้อเสียของการกินนมที่พบบ่อยๆคือ อาการท้องเสียหลังกินนม (บางคนเรียกว่าแพ้นม แต่กรุณาอย่าสับสนกับเรื่องภูมิแพ้นม ซึ่งจะกล่าวต่อไป)

สำหรับคนเอเชียแบบเราๆ ประวัติศาสตร์การบริโภคนมวัวเริ่มมาได้ไม่นานนัก(เมื่อเทียบกับชาวตะวันตก) ทำให้คนบางคนไม่มีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ใช้ย่อยน้ำตาลในนม (lactase) หากกินนมแล้วอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

ซึ่งวิธีแก้ไขคือ การค่อยๆเริ่มกินนมทีละนิดๆ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายค่อยๆสร้างเอนไซม์นี้ขึ้นมาทีละน้อย จนถึงจุดหนึ่งร่างกายมีเอนไซม์มากพอ ก็จะสามารถกินนมได้ตามปกติ หากยังใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล อาจเลือกกินโยเกิร์ตแทนนมปกติ หรือหากไม่ไหวจริงๆ ก็ควรกินอาหารที่มีแคลเซียมสูงหรือกินยาเม็ดแคลเซียมร่วมด้วยก็ได้

ประเด็นที่กำลัง in trend คือเรื่องของความอ้วน เนื่องจากในนมนั้น นอกจากจะมีโปรทีน ยังมีไขมันและน้ำตาลอีก ซึ่ง เป็นแหล่งพลังงานที่มีในนม หากกินแล้วไม่ได้ใช้พลังงาน ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมได้
แต่เนื่องจากสถาณการณ์ดังกล่าว สามารถเกิดได้กับการกินอาหารอื่นๆทั่วไป เช่นเดียวกับการกินข้าวและอาหารอื่นๆทุกชนิด ดังนั้นการสรุปว่ากินนมแล้วจะทำให้อ้วน จึงไม่เรื่องที่ถูกต้องเท่าไรนัก

ข้อเสียอื่นๆที่พอจะพบได้บ้างคือ อาการแพ้นม ซึ่งจัดเป็นภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง เกิดจากการแพ้โปรทีนในนม (casein) ผู้ป่วยจะแสดงอาการแพ้หลังจากกินนม เหมือนกับเป็นภุมิแพ้ เช่น เกิดผื่น ไอ จาม ไปจนถึงอาจเกิดอาการช็อค (พบได้น้อยมากๆๆ)

คนที่มีอาการเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการกินนมวัว รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด เพื่อป้องกันอาการแพ้ (หรืออาจจะกินก็ได้ หากคิดว่าอาการแพ้นั้น ไม่หนักหนาอะไร)

นมเปรี้ยว / โยเกิร์ต
โยเกิร์ต ก็คือนมที่ถูกหมักด้วยจุลินทรีย์ (โดยมากนิยมใช้เชื้อแบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส) ตัวเชื้อ จะเปลี่ยนน้ำตาล lactose ในนม กลายเป็นกรด lactic acid ซึ่งจะไปตกตะกอนโปรทีนในนมจนกลายเป็นโยเกิร์ตข้นๆ และมีรสเปรี้ยวกว่าเดิม

ส่วนนมเปรี้ยวนั่นก็คือ โยเกิร์ตที่ไม่ข้น โดยมีกรรมวิธีผลิตต่างกันเล็กน้อยจากโยเกิร์ตธรรมดาจนมันกลายเป็นของเหลวนั่นเอง มีจุดดีที่สามารถดื่มได้ง่ายกว่า

ประโยชน์ที่ได้จากโยเกิร์ตคือ ในคนที่มีปัญหาเรื่องกินนมปกติแล้วท้องเสีย (ขาดเอนไซม์ย่อยน้ำตาลในนม) ก็สามารถกินโยเกิร์ตแทนได้ เพราะเชื้อแบคทีเรียช่วยย่อยน้ำตาลในนมให้แล้ว

นอกเหนือจากนั้น เชื้อจุลินทรีย์ที่มีในโยเกิร์ต ยังเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์กับระบบขับถ่ายของคนเราด้วย เช่น ช่วยทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ ,ช่วยทำให้เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในลำไส้ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้

สิ่งที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโยเกิร์ตมากที่สุดคือ การช่วยลดความอ้วน
ถึงแม้โยเกิร์ตจะทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ (บางคนที่ขับถ่ายน้อย อาจรู้สึกว่ากินแล้วถ่ายมากขึ้น) แต่สิ่งที่ร่างกายขับถ่ายออกมานั้น ก็จะเป็นส่วนของน้ำ + กากอาหารเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ช่วยขับไขมันหรือพลังงานอะไรออกมาด้วย ดังนั้นการถ่ายมากๆก็ไม่สามารถลดความอ้วนได้ อาจทำให้ดูผอมได้เล็กน้อยเพราะเสียน้ำไปส่วนหนึ่ง แต่พอกินน้ำก็กลับเป็นเหมือนเดิม (อ่านรายละเอียดเพิ่มได้จากหัวข้อถ่ายอุจจาระบ่อยๆ จะช่วยลดความอ้วนหรือไม่) และทั้งนี้ ในโยเกิร์ตยังนิยมเติมน้ำตาลในปริมาณสูง เพื่อช่วยให้มีรสอร่อยมากขึ้น ใครที่คิดจะกินเพื่อลดความอ้วน อาจได้รับพลังงานเข้าไปมากขึ้นกว่าปกติก็ได้

สิ่งที่เข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของการล้างพิษ ที่เชื่อกันว่าโยเกิร์ตช่วยขับพิษออกจากร่างกายนั้น ยังไม่เคยมีใครในโลกพิสูจน์ได้จริงว่า กินโยเกิร์ต (รวมทั้งผลิตภัณฑ์ล้างพิษอื่นๆ) แล้วจะทำให้ร่างกายขับพิษออกมามากกว่าปกติได้จริง ไม่เคยมีการพิสูจน์ได้ว่าในอุจจาระที่ถ่ายออกมามีสารพิษออกมาด้วย หรือในคนที่กินจะมีปริมาณสารพิษน้อยลง

นมถั่วเหลือง
นมถั่วเหลืองจัดเป็นนมที่ไม่ได้มากจากสัตว์ แต่ได้จากพืช โดยการนำถั่วเหลืองไปบด/ต้มกับน้ำ แล้วกรองเอากากทิ้งจะได้ของเหลวสีขาวคล้ายนม เรียกว่านมถั่วเหลือง (ถ้าวัตถุดิบเป็นพืชชนิดอื่นๆ ก็เรียกตามพืชนั้นๆ เช่น น้ำนมข้าว)

เนื่องจากได้จากพืช สารอาหารที่ได้ จึงต่างไปจากนมที่ได้จากสัตว์ โดยสารอาหารสำคัญในนมถั่วเหลืองได้แก่โปรทีน ทำให้นมถั่วเหลืองจะหมดกับคนทุกเพศทุกวัย

นอกจากนี้ในนมถั่วเหลืองยังมีส่วนของสารที่ทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง เรียกว่า Phytoestrogen (มาจากคำว่า phyto = พืช + estrogen = ฮอร์โมนเพศหญิง) ทำให้นมถั่วเหลืองเหมาะสำหรับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน (ที่ระดับฮอร์โมนเพศลดลง) เพื่อช่วยลดอาการต่างๆที่เกิดจากการหมดประจำเดือน (วัยทอง)

แต่เนื่องจาก ปริมาณแคลเซียมในนมถั่วเหลือง มีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับนม จึงไม่เหมาะที่จะกินนมถั่วเหลือง ในกรณีที่ต้องการแคลเซียม

ถึงอย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน มีการเติมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ทำให้มันมีปริมาณของแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นจนใกล้เคียงกับที่ได้จากนม ทำให้นมถั่วเหลืองแบบเสริมแคลเซียมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้เสริมแคลเซียมได้นอกเหนือจากการกินนมวัว โดยเฉพาะในคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็สามารถเลือกกินนมถั่วเหลืองชนิดเสริมแคลเซียมได้

เนื่องจากมันมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้สิ่งที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนมถั่วเหลืองที่พบบ่อยคือ มักจะมีความเข้าใจผิดว่า ผู้ชายไม่ควรดื่ม ซึ่งในความจริงๆแล้ว ปริมาณที่มีนั้น ไม่ได้มากมายจนสามารถทำให้เกิดผลใดๆในผู้ชายได้ (นอกจากจะกินวันละมากๆ แทบจะเป็นโอ่งๆ และเป็นเวลานานๆ แบบนี้อาจมีผล)

สรุปแล้ว ทั้ง 3 ตัวนี้ ถึงเราจะเรียกว่านมเหมือนกัน แต่เนื้อแท้แล้ว แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สรุปง่ายๆได้ว่า
1. นม เหมาะกับการเสริมแคลเซียมที่สุด และยังมีสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์กับร่างกาย
2. นมเปรี้ยว/โยเกิร์ต สามารถใช้เสริมแคลเซียมได้ แต่โดยทั่วไปจะน้อยกว่านมปกติ เหมาะสำหรับคนที่กินนมปกติแล้วท้องเสีย และยังมีประโยชน์ในเรื่องของระบบขับถ่าย
3. นมถั่วเหลือง มีแคลเซียมน้อย (นอกจากชนิดที่เสริมแคลเซียม) เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยทองมากที่สุด

และถึงทั้ง 3 จะแตกต่างกัน แต่เราก็สามารถกินทั้ง 3 ตัวได้พร้อมๆกันโดยไม่มีข้อห้าม แต่ควรระวังเรื่องของปริมาณไขมันหรือพลังงาน หากได้รับมากเกินไป อาจทำให้อ้วนได้ (ถ้าไม่ออกกำลังกาย)

รสชาดอาหารทายนิสัย เอาไว้ลองสังเกตุคนใกล้ตัวกัน...

รสชาดอาหารทายนิสัย เอาไว้ลองสังเกตุคนใกล้ตัวกัน...
รสจืด เป็นคนหนักเอาเบาสู้งานมากงานน้อยข้าเจ้าไม่หวั่น ออกจะเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายใครว่าไงก็ว่าตาม พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ มีแค่ไหนใช้แค่นั้น ไม่ค่อยขวนขวายหรือกระตือรือร้นจนเกินตัวอยู่ง่ายกินง่าย ส่วนลักษณะในการแต่งตัวก็ง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ข้อเสียก็คือมักเป็นคนขี้ใจน้อย ขี้สงสาร ใจอ่อน มักจะโดนคนอื่นหลอกอยู่บ่อย ๆ

รสหวาน เป็นคนใจบุญ สงสารคนอื่นเขาไปทั่ว อารมณ์ดีร่าเริงสดใสจนบ้างครั้งดูเหมือนเกิน ๆ ไปนิด ชอบกีฬา และโปรดปรานเสียงเพลงเป็นที่ซู้ด..ด..ด ส่วนทางด้านความรักจะเป็นคนที่รักง่ายหน่ายเร็ว หรือว่ากัน ซื่อ ๆ ก็เบื่อง่ายนั่นแหละ ถ้ารักใครก็รักจริงเหมือนกันนะ แต่ก็ขี้หึงเป็นบ้าเลย มักจะเป็นคนที่มีจิตใจโลเล เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองแบบว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองว่างั้นนะ และก็มักจะเป็นคนที่ช่างฝัน ถึงอย่างไรก็เป็นมิตรที่แสนดีกับผู้อื่น ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเขาหรอก ร
สเค็ม อย่างว่านะคนที่ชอบรสเค็มส่วนใหญ่ก็มักจะมีนิสัยเหมือนรสแหละ คือมักได้ ทำอะไรก็ได้ที่ลงทุนไปน้อยนิดหรือไม่ก็ไม่ต้องลงทุนเลยแต่ได้กลับมาเป็นสองเท่าอะไรทำนองนั้นน่ะ และก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างควัก ยากมาก ใครที่ได้กินเงินกับคนที่ชอบรสเค็มนี้ถือว่าเป็นบุญเลยหละ ส่วนเรื่องของการแต่งตัวก็ชอบแต่ง ตัวปอน ๆ แต่จะเป็นคนที่ขยันทำงาน เก็บเงินเก่งจะเก็บไม่เก่งได้อย่างไรล่ะ เล่นไม่ค่อยจ่ายอะไรเลย อย่างนี้ก็ต้องมีเก็บซิ ส่วนความรักจะเป็นคนที่รักใครแล้วจะเก็บไว้ในใจไม่ค่อยแสดงออก จึงชวดไปหลายรายเหมือนกัน เป็นคนที่รักความสงบไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร ๆ นัก เพราะขี้เกียจปวดหัว
รสเผ็ด ออกจะเป็นคนที่ค่อนข้างเฉียบขาด อารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง โกรธง่ายแต่หายเร็วนะ อีกอย่างนึงก็ปาก ร้ายใจดี ส่วนข้อดีของคนที่ชอบรสเผ็ดก็มีหลาย คือ เป็นคนที่มีความฉลาดทันคน พูดจาตรงไปตรง มาคิดอย่างไรว่าอย่างนั้น จะเป็นคนที่มีความมานะอดทน และมีความเพียรพยามสูง เรียกว่าตั้งใจทำ อะไรถ้ายังไม่สำเร็จตามที่คิดไว้ก็จะทำให้เสร็จ และจะไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ ถ้าฉันไม่ผิด ส่วนใหญ่จะออกไปทางรักอิสระ ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับใคร ถ้าลองได้รักใครแล้วทุ้มสุดตัวเหมือนกันนะ
รสเปรี้ยว จะเป็นคนที่ชอบคบค้าสมาคมกับคนทุกระดับ ออกจะไปทางสังคมจัด เรียกว่ามีงานสังสรรค์ที่ไหนต้องมีฉันอยู่ที่นั่น ไม่พลาดเลยแม้แต่งานเดียว จะเป็นคนที่ช่างพูดช่างเจรจา ชอบวางตัวเด่นจนบ้างครั้งเกินหน้าเกินตาคนอื่นเขา เลยทำให้คนอื่นเกิดความอิจฉาได้ ข้อดีที่เด่นชัดที่สุดของคนที่ชอบรสเปรี้ยวนี้จะ เป็นคนที่หาเงินเก่ง และก็ใช้เงินเก่งพอสมควรเลยแหละ ถึงอย่างไรก็ยังมีเหลือเก็บกับเขาเหมือนกัน ส่วนข้อเสียคือ ชอบทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ก็เลยทำอะไรไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนัก และก็ไม่ชอบที่จะทำงานที่ต้องออกแรงเยอะอีกด้วย

10 อุปนิสัยที่ไม่ดีและมี ผลต่อสมอง

10 อุปนิสัยที่ไม่ดีและมี ผลต่อสมอง
1. ไม่ทานอาหารเช้า คุณรู้รึเปล่าว่าสาวไหน ยิ่งเป็นสาวทำงานด้วยล่ะก็ อาหารมื้อเช้าน่ะสำคัญที่สุด ถ้าใครไม่ทานจะมีน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าปกติ เลยทำให้อาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ผลระยะยาวอาจทำให้เซลล์สมองฝ่อได้นะเออ
2. ทานมากไป ไม่ใช่ว่าทานอาหารเช้าซะอิ่มแปล้ตามด้วยอาหารกลางวันที่หนักพุง แถมจิบน้ำชากาแฟยามบ่ายพร้อมเค้กชิ้นโปรด และพอเลิกงานก็รีบตรงดิ่งไปพบกิ๊ก เพื่อมื้อค่ำอันแสนโรแมนติก นี่ยังไม่นับการขบเคี้ยวของว่างระหว่างวันอีกนะ หากคุณทานมากเกินความต้องการของร่างกาย ถึงแม้ว่าจะมีอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์สมองอย่างมากเกินพอ แต่มันก็ทำให้สมองคุณไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร คิดอะไรจะช้ากว่าปกติดนะคะ
3. สูบบุหรี่ ได้ผลจากการวิจัยและพิสูจน์ให้เห็นจะๆแล้ววว่าการสูบบุหรี่ทำให้สมองเล็กลงและทำให้เป็นโรคความจำเสื่อมได้ค่ะ
4. บริโภคน้ำตาลมากเกินควร หากทานน้ำตาลมากไป จะทำให้ร่างกายดูดซึมซับโปรตีนได้น้อยลง ทำให้ร่างกายรับอาหารได้ไม่ครบห้าหมู่ และจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์สมองด้วยจ้า
5. อากาศที่เป็นพิษ สมองเป็นแหล่งที่ต้องการออกซิเจนมากที่สุดในร่างกาย หากเราสูดอากาศที่ไม่บริสุทธิ์เข้าไปมากๆจะทำให้ออกซิเจนในสมองไม่เพียงพอ ทำให้ลดประสิทธิภาพของการทำงาน แบบสมองตื้อๆไงล่ะ
6. นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับทำให้สมองได้พักผ่อนบ้าง การนอนน้อยในระยะยาวจะทำให้เซลล์สมองตายเร็วขึ้น
7. โพกศีรษะตอนนอนหลับ การที่คุณเอาอะไรต่อมิอะไรมาคลุมผม ปกหัวครอบศีรษะ จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ และลดออกซิเจนซึ่งทำให้สมองเสียหายได้
8. หักโหมทำงาน หรือเรียนหนักตอนไม่สบาย ไม่คุ้มเลยค่ะที่จะทรมานตัวเองอย่างนั้น เพราะขืนทำไป ก็จะเกิดแต่ความเสียหายต่อสมองของคุณเอง
9. พยายามกระตุ้นสมองบ้าง ใช้สมองคิดค่ะ อย่าวิ่งหนีปัญหา จงหาทางแก้ไข ยิ่งเจอปัญหามากสมองต้องทำงานมาก หลากหลาย การกระตุ้นนี้จะช่วยพัฒนาเซลล์สมองค่ะ
10. พูดมากๆ ไม่ได้หมายความว่าพูดเรื่อยเปื่อย ไร้สาระนะคะ พูดในเรื่องที่น่าสนใจที่ให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุบ้านการเมืองปัจจุบัน หรือข่าวสังคมที่กำลังฮอทฮิตในตอนนี้ เพราะมันจะทำให้สมองของคุณเฉียบแหลมยิ่งขึ้นค่ะ

แนะสูตรกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด

แนะสูตรกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด
แนะสูตรกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดธนาคารซิตี้แบงก์จัดกิจกรรม Citibank Happiness Guarantee Weekend มีเวิร์กช็อปโดย จารุวรรณ บุญวิวัฒนา เจ้าของร้านทำเสื้อ ทำสวน และนักเขียนคอลัมน์ Seasonal Kitchen นิตยสาร Bistro มาสาธิตเมนูสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีวิทยากรจากสถาบันลดน้ำหนัก Unisense มาพูดคุยถึงการกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด อาศัยข้อมูลจากการวิจัยของแพทย์ชาวอเมริกัน ดังนี้

กรุ๊ปเอ
จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ เพราะระบบการย่อยและภูมิต้านทานไม่ ค่อยดี จึงควรกินอาหารมังสวิรัติ ข้าวกล้องและอาหารที่มีธาตุเหล็ก ควรเลี่ยงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปประเภทไส้กรอก หมูแฮม เพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรกินปลาแซลมอนและโยเกิร์ตไขมันต่ำ และไม่ควรออกกำลังกายหักโหม

กรุ๊ปบี สามารถเลือกทานอาหารได้หลากหลายกว่าคนเลือดกรุ๊ปเอ แต่ควรหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ โดยเฉพาะอกไก่ เพราะจะทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ คนที่มีเลือดกรุ๊ปบีกินผัก ผลไม้ ได้ทุกชนิด แต่มะเขือเทศจะทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารมาก
ส่วนข้าวโพดก็ไม่ควรกินเยอะ เพราะจะทำให้อ้วน

กรุ๊ปเอบี
ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ จึงควรกินอาหารประเภทมังสวิรัติ อาหารประเภทนมและไข่ทานได้ในปริมาณพอเหมาะ แต่หากเป็นไซนัสควรหลีกเลี่ยง คนกรุ๊ปเลือดเอบีควรกินอาหารทะเล เต้าหู้ ชา กาแฟ และไวน์แดง ผักสด ผลไม้ที่ดีคือ สับปะรดและส้มโอ ควรหลีกเลี่ยงกล้วย ฝรั่ง และส้ม รวมถึงปลาเนื้อขาว แซลมอนรมควัน

กรุ๊ปโอ
จะเป็นกรุ๊ปเลือดที่กินอาหารได้หลากหลายที่สุด เป็นกรุ๊ปเลือดที่มีสุขภาพแข็งแรง และมีกรดในกระเพาะอาหารมากจึงย่อยโปรตีนได้ดี แต่ต้องระวังเรื่องคอเลสเตอรอล จึงควรหลีกเลี่ยงข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต หอยนางรม ปลาหมึก รวมถึงผลไม้ประเภทแคนตาลูป ส้มและสตรอว์เบอร์รี่ เพราะจะยิ่งเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร และคนที่มีเลือดกรุ๊ปโอนั้นเหมาะกับการออกกำลังกายแบบหนักๆ เป็นที่สุด

ลดน้ำหนักได้...ไม่ต้องอด

ลดน้ำหนักได้...ไม่ต้องอด
เซลลูไลท์ที่ขา สะโพกที่ใหญ่ ไขมันที่หน้าท้องเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์สำหรับสาวๆ ใครมีไขมันส่วนเกินก็กลัวว่าจะใส่เสื้อผ้าที่แอบเซ็กซี่นิดๆ แล้วไม่สวย จึงหันไปไดเอท อดอาหาร ออกกำลังกายหักโหม เพื่อรีดไขมันพวกนี้ออกไป แต่ผู้ที่เริ่มไดเอท ส่วนมากก็จะเลิกไดเอทเอาง่ายๆ น้ำหนักที่ลดลงกลับเพิ่มขึ้นมาใหม่ และอาจมากกว่าเดิม
คงจะเคยได้ยินคนที่กำลังลดน้ำหนักพูดว่า “ทำไม่ได้เพราะอดใจไม่ไหว” หรือ “ตบะแตก” กันบ้าง นั่นเป็นเพราะอดอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะห้ามตนเองกินสิ่งที่ชอบ อาหารช่วงไดเอทอาจซ้ำซากจำเจ เมื่ออดมากๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่มีแรง รู้สึกหิวโหยในช่วงเย็น และลงเอยโดยการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เสียความมั่นใจในตนเอง วงจรของการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มาเลิกไดเอทกันเถอะค่ะถ้าคุณเผชิญกับปัญหาน้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ จากการไดเอท คุณควรรู้จักวิธีจัดการกับอาหารที่ชอบ ไม่ใช่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง คุณสามารถรับประทานอาหารที่ชอบได้ทุกวันในปริมาณที่พอเหมาะ การทำเช่นนี้จะทำให้ความอยากอาหารลดลง การลดน้ำหนักจะประสบผลสำเร็จและถาวรมากขึ้นการลดน้ำหนักเพื่อให้สุขภาพดี และประสบความสำเร็จนั้นต้องให้ความสำคัญกับปริมาณอาหารที่รับประทาน เวลาที่รับประทาน ทำไมถึงรับประทาน ก่อนที่จะตั้งเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนักลงเท่าใดนั้น ควรประเมินสรีระของร่างกายตนเองก่อน ผู้ที่หนัก 130 กิโลกรัม และมีไขมันในตัวมาก จะลดน้ำหนักลงได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าผู้ที่มีกล้ามเนื้อเยอะ และต้องการลดน้ำหนักลงเพียงแค่ 5 กิโลกรัม พันธุกรรมก็มีส่วนเป็นตัวกำหนดน้ำหนักที่ควรเป็นด้วยเหมือนกัน
7 ขั้นตอนเพื่อลดไขมันส่วนเกิน
1. จดบันทึกอาหารที่รับประทาน และเครื่องดื่มต่างๆ อย่างน้อย 3 วัน นอกจากนี้ควรบันทึกว่าทำไมถึงรับประทาน อาจจะไม่ใช่เพราะความหิว แต่เป็นเพราะ อยาก เบื่อ เหงา เศร้า หรือหงุดหงิด งานวิจัยพบว่าผู้ที่จดบันทึกอาหารสามารถลดน้ำหนักได้ผลดีกว่าผู้ที่ไม่บันทึก การจดบันทึกนี้จะทำให้เห็นแบบอย่างลักษณะการบริโภคที่นำไปสู่ความอ้วนได้ เช่น ใช้ขนมเป็นตัวปลอบใจขณะที่รู้สึกเศร้า หรือรับประทานอาหารในช่วงวันน้อยมาก จึงทำให้หิวมากในช่วงเย็น เป็นต้น เมื่อทราบเช่นนี้จะช่วยให้มีกลยุทธ์ในการแก้ไขพฤติกรรมอย่างถูกต้อง อาจเป็นการหาวิธีอื่นที่ไม่ใช้อาหารเป็นการปลอบใจหรือเป็นรางวัล เช่น การคุยกับเพื่อน ออกไปเดินเล่น ทำสวน ทำเล็บ อาบน้ำสัตว์เลี้ยง เป็นต้น นอกจากนี้ควรบันทึกเวลาที่ออกกำลังกายด้วย เพื่อดูนิสัยการออกกำลังกาย
2. เน้นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง เพราะจะทำให้มีแรงทำงาน และออกกำลังกายในช่วงเย็น ถ้าต้องการพลังงานวันละ 1300 แคลอรี่ ให้แบ่งแคลอรี่แต่ละมื้อเป็น 500-500-300 (เช้า-กลางวัน-เย็น)
3. รับประทานอาหารช้าๆ งานวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักมีพฤติกรรมรับประทานอาหารเร็วกว่าสมองจะใช้เวลารับรู้ว่าท้องอิ่มประมาณ 20 นาที ดังนั้นการกินอาหารช้าๆ จะทำให้ได้รับรู้รสชาติของอาหารมากขึ้น ทำให้เกิดความพึงพอใจ เพลิดเพลินกับการรับประทาน ถ้าใครรู้ว่าตัวเองมีนิสัยการกินอาหารเร็วควรฝึกตนเองให้กินช้าลง โดยวางช้อนส้อมระหว่างคำ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนที่รับประทานด้วย
4. เลือกรับประทานที่ชอบ การปฏิเสธอาหารที่ชอบจะทำให้มีความอยากมากขึ้น จนทนไม่ไหว ควบคุมตนเองไม่ได้ และทำให้กินอาหารมากเกินควรภายหลัง แต่ถ้าอนุญาตตนเองให้กินอาหารที่ชอบที่อยากกินในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลงและสามารถควบคุมตนเองได้ อาจใช้วิธีแลกเปลี่ยนอาหาร เช่น ถ้าอยากรับประทานโดนัท 1 ชิ้น 200 แคลอรี่ ให้ลดปริมาณข้าวลง 2 ทัพพี และเลือกอาหารไขมันต่ำในมื้อถัดไป การวางแผนล่วงหน้าจะป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินควร
5. หลีกเลี่ยงการมีขนมไว้ยั่วยวนใจ โดยการไม่ซื้อมาเก็บไว้ที่บ้าน หรือถ้าซื้อมาให้คนอื่นในครอบครัวให้เก็บไว้ในตู้ เพราะถ้าไม่เห็นก็จะไม่นึกถึง และไม่เอาเข้าปาก ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในครัว อาจพิจารณาย้ายไปห้องนั่งเล่นเพื่อทำกิจกรรมอื่นหรือเพื่อผ่อนคลาย ถ้าไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอาหารขายเยอะๆ เวลากลับมาบ้านแทนที่จะเดินเข้าห้องครัวทันทีเพื่อหาอะไรรับประทาน ให้เปลี่ยนเส้นทางเป็นเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และพักผ่อนก่อนที่จะเข้าห้องครัว
6. มีแบบแผนการรับประทานที่มีความเป็นไปได้ นั่นคือมีความยืดหยุ่นกับตนเองบ้าง ชีวิตเราในแต่ละวันมีความแตกต่างกันออกไป บางวันเครียด บางวันสบาย บางวันมีงานเลี้ยง ถ้าเผลอรับประทานเยอะหน่อยที่งานเลี้ยงก็ไม่ต้องลงโทษตัวเองจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข ให้เลือกอาหารที่ “เบาๆ” ในวันถัดมา จะไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
7. จัดตารางเวลาให้กับการออกกำลังกายและจดลงในสมุดนัด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำและมีงานยุ่ง ประโยชน์ของการออกกำลังกายนั้นมีมากมาย นอกจากจะเป็นวิธีเผาผลาญพลังงานแล้วยังช่วยคลายเครียด กระชับกล้ามเนื้อและทำให้มีสุขภาพดี แต่ข้อสำคัญคือ ควรเพลิดเพลินสนุกไปกับการออกกำลังกายด้วย เพราะถ้าใช้การออกกำลังกายเป็นบทลงโทษตนเอง หรือเพื่อเพียงเผาผลาญพลังงานแล้วจะทำให้รู้สึกเบื่อและเลิกไปในที่สุด ควรเลือกกิจกรรมที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ หรือเต้นลาตินก็ตาม แนะนำให้ออกกำลังกาย 30-60 นาที 4-7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และป้องกันการเพิ่มน้ำหนัก การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่พูดกันง่ายแต่ทำกันยาก
นี่อาจเป็นเพราะมีข้อมูลและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการลดน้ำหนักมากมายทำให้ผู้ที่อยากลดน้ำหนักสับสนกับข้อมูล ความเชื่อๆ ผิดอย่างหนึ่ง คือ “อาหารประเภทแป้งทำให้อ้วน” ตัวแป้งเองไม่ได้ทำให้อ้วน แต่การได้รับแคลอรี่เกินกว่าที่ใช้จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น แป้งและโปรตีนมีพลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัม เทียบกับไขมันที่มี 9 แคลอรี่ต่อกรัม และแอลกอฮอล์ที่มี 7 แคลอรี่ต่อกรัม อาหารประเภทแป้งที่มีไขมันแฝงอยู่มีมากมาย เช่น ขนมปัง ขนมปังกรอบ ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่างๆ โรตี ขนมน้ำกะทิ ขนมทอดกรอบ และอื่นๆ อาหารประเภทแป้งที่มีไขมันสูงนี้มักมีน้ำตาลสูงด้วย และมีแคลอรี่สูง การรับประทานอาหารประเภทนี้เป็นประจำหรือในปริมาณมากนั้นจะทำให้มีพลังงานสะสม และทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ อาหารประเภทแป้งที่มีประโยชน์ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ เส้นต่างๆ เมล็ดถั่วธัญพืช มีวิตามิน แร่ธาตุและไฟเบอร์ ที่ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ควรเลือกอาหารประเภทแป้งที่มีประโยชน์พวกนี้ เป็นส่วนมากวิธีลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่นิยมมากในตอนนี้คือ ไดเอทแบบโปรตีนสูง นั่นคือ อดอาหารประเภทแป้ง รับประทานแต่โปรตีนกับผัก วิธีลดนำหนักแบบนี้จะทำให้น้ำหนักลงได้เร็ว นั่นเป็นเพราะ
1. ร่างกายขับน้ำออกมามาก คาร์โบไฮเดรตหรือแป้งทำให้กล้ามเนื้อกักน้ำไว้ เมื่อมีแป้งน้อยน้ำในกล้ามเนื้อจะน้อยลงตามด้วย
2. เมื่ออดอาหารประเภทแป้ง แคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวันจะลดลงด้วย ไม่เพียงแต่งดขนมปัง 2 แผ่น (160 แคลอรี่) เท่านั้น แต่คุณสามารถตัดแคลอรี่จากเนย 2 ช้อนชา (90 แคลอรี่) ที่ตามมาด้วย
3. อาหารประเภทโปรตีนทำให้คุณรู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะใช้เวลาในการย่อยนานจึงทำให้ไม่หิวบ่อย จนกระทั่งคุณมีความอยากอาหารประเภทแป้งอีก ซึ่งก็อาจทำให้คุณเลิกไดเอทได้ง่ายๆ เหมือนกัน มีงานวิจัยพบว่า หลังจาก 1 ปี ผู้ที่ลดน้ำหนักแบบโปรตีนไม่ได้มีน้ำหนักที่ลดลงแตกต่างจากผู้ที่ลดน้ำหนักแบบคาร์โบไฮเดรตสูง ไขมันต่ำแต่อย่างใด
ดังนั้นผู้ที่จะลดน้ำหนักควรพิจารณาดูว่า อาหารที่ตนชอบคืออะไร ถ้าชอบรับประทานแป้งก็ไม่ควรไปอด เพราะการลดน้ำหนักจะไม่ประสบความสำเร็จ
One Day Menu
เมนูลดน้ำหนักมื้อเช้า :
เต้าหู้หลอดกวน ใส่ต้นหอม มะเขือเทศ (ใช้เต้าหู้1/2 หลอด)
ขนมปังโฮลวีท 2 แผ่น ทาเนยถั่วหรืองาบด 1 ช้อนโต๊ะ
กล้วยน้ำว้า 1 ลูก กาแฟใส่นมพร่องไขมัน ½ ถ้วยตวง
มื้อเที่ยง :
ขนมจีนน้ำยา 1 ชาม
ผักตามชอบ
แก้วมังกร 1/2 ผล
มื้อบ่าย : อัลมอนด์ 10 เม็ด
มื้อเย็น : สลัดยำปลาทูน่า 1 จาน ใช้ปลาทูน่าแพ็คในน้ำ ½ กระป๋อง
มะม่วงสุก 1 ผล
นมพร่องไขมัน 1 ถ้วย
เมนูนี้ให้พลังงาน 1,200 แคลอรี่ พลังงานที่ต้องการในการลดน้ำหนักจะแตกต่างกัน ในแต่ละคน ซึ่งคนส่วนมากได้รับพลังงานต่ำไปกว่า 1,200 แคลอรี่ ถ้าใครตัวสูงหรืออกกำลังกายมาก แนะนำให้เพิ่มพลังงานเป็น 1,500-1,800 แคลอรี่ต่อวันอย่าลืมว่าการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยควบคุมจนมากเกินไป ปฏิเสธอาหารที่ตนชอบจะไม่ได้ผลในระยะยาว ควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย แต่ในปริมารที่พอเหมาะ จะทำให้น้ำหนักค่อยๆ ลง มีสุขภาพที่ดีด้วย